บิตคอยน์(BTC) ทำสถิติสูงสุดในรอบ 4 สัปดาห์ แตะระดับ 117,200 ดอลลาร์ (ประมาณ 16.45 ล้านบาท) ท่ามกลางบรรยากาศการรอผลการประชุมคณะกรรมการตลาดเสรีของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ซึ่งกำลังจะมีขึ้นในเร็ววันนี้ โดยราคาดังกล่าวนับเป็นการยืนยันแนวโน้มขาขึ้นของตลาดหลังจากดีดตัวจากแนวรับที่ระดับ 111,000 ดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ก่อน
ราคาบิตคอยน์มีการแกว่งตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาเคยขึ้นไปแตะ 116,000 ดอลลาร์ ก่อนจะเจอแรงขายในช่วงสุดสัปดาห์ที่ระดับ 116,800 ดอลลาร์ จนเข้าสู่ภาวะนิ่ง ล่าสุดในช่วงเช้าวันนี้ ราคากลับตัวขึ้นอีกครั้งจากบริเวณ 114,400 ดอลลาร์ กลับมายืนเหนือแนวต้านได้สำเร็จที่ระดับ 117,200 ดอลลาร์
แม้การพุ่งขึ้นของบิตคอยน์ซึ่งเป็นสินทรัพย์คริปโตฯ ที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดจะสะท้อนสัญญาณเชิงบวกต่อตลาดโดยรวม แต่ในทางกลับกัน ‘เหรียญอัลท์’ หลายตัวกลับยังคงอยู่ในช่วงสะสมหรือแกว่งตัวในกรอบจำกัด โดยอีเธอเรียม(ETH), ริปเปิล(XRP), โซลานา(SOL), คาร์ดาโน(ADA), ดอจคอยน์(DOGE), โทรอน(TRX) และซุย(SUI) ส่วนใหญ่ไม่มีการเคลื่อนไหวเชิงปริมาณที่โดดเด่นในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ด้านไบแนนซ์คอยน์(BNB) สร้างเซอร์ไพรซ์ให้กับนักลงทุนด้วยการทะลุสถิติสูงสุดตลอดกาลที่ระดับ 960 ดอลลาร์ (ราว 1.33 แสนบาท) พร้อมดึงดูดสายตาจากตลาดได้อย่างมาก ขณะที่เหรียญหน้าใหม่อย่างไฮเปอร์ลิควิด(HYPE) ยังทรงตัวใกล้จุดสูงสุดที่ 55 ดอลลาร์ ส่วน MYX กลายเป็นดาวเด่นในกลุ่มอัลท์ขนาดใหญ่ เมื่อล่าสุดราคาปรับตัวขึ้นกว่า 50% ทะลุระดับ 16 ดอลลาร์ได้สำเร็จ เหรียญ IP และ SKY ก็ปรับขึ้นเล็กน้อย 6% และ 5% ตามลำดับ
ปัจจุบันมูลค่าตลาดรวมของสินทรัพย์ดิจิทัลพุ่งขึ้นเป็น 4.14 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 5,764.6 ล้านล้านบาท) ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน เพิ่มขึ้นกว่า 1,400 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าเป็นผลจากความคาดหวังต่อการประชุม FOMC ที่อาจนำไปสู่ ‘การลดดอกเบี้ย’ และแนวโน้มการขยายตัวของสภาพคล่องในตลาด
บิตคอยน์เวลานี้ครองส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 56.2% และมีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ราว 2.325 ล้านล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3,236.75 ล้านล้านบาท) โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นพ้องว่า ตลาดจะเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญภายหลังการประกาศผลประชุม FOMC ซึ่งอาจส่งผลต่อตลาดช่วงสั้นอย่างมีนัยสำคัญ ความผันผวนจึงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงเวลานี้
*ความคิดเห็น: บิตคอยน์ในฐานะสินทรัพย์ชี้นำตลาดเริ่มพาเทรนด์กลับมามีชีวิตอีกครั้ง แต่การแนวโน้มจะยั่งยืนหรือไม่ ยังขึ้นอยู่กับท่าทีของเฟดเป็นสำคัญ*
ความคิดเห็น 0