กระเป๋าเงินของวาฬอีเธอเรียม(ETH) กลับมาทำกำไร ‘ยังไม่รับรู้’ ในระดับเดียวกับปี 2021 ส่งผลให้ตลาดคริปโตฯ เต็มไปด้วยความตึงเครียดผสมความคาดหวัง โดยสถานการณ์ล่าสุดที่ ETH กำลังเข้าใกล้ระดับราคาสูงสุดตลอดกาลอีกครั้ง ทำให้หลายฝ่ายจับตาความเป็นไปได้ทั้ง ‘ขาขึ้นครั้งใหญ่’ หรือ ‘การปรับฐานรุนแรง’ ที่อาจเกิดขึ้น
จากข้อมูลออนเชน กระเป๋าที่ถือครองระหว่าง 10,000 ถึง 100,000 ETH มีมูลค่ากำไรที่ยังไม่รับรู้กลับมาอยู่ในระดับเดียวกับช่วงกระทิงของปี 2021 ซึ่งครั้งนั้นตัวเลขพุ่งขึ้นถึง 45,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 62.5 ล้านล้านวอน) เพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าจากปี 2017 ซึ่งอยู่ที่ 15,000 ล้านดอลลาร์ ข้อมูลล่าสุดของเดือนกันยายน 2025 บ่งชี้ว่ากระเป๋ากลุ่มเดียวกันยังทำกำไรได้ในระดับใกล้เคียง โดยนักวิเคราะห์นิรนามรายหนึ่งระบุผ่านโซเชียลมีเดียว่า “วาฬ ETH ในวันนี้มีพฤติกรรมเหมือนกับปี 2021 และมีโอกาสที่ราคาจะพุ่งขึ้นได้มากกว่า 3 เท่าอีกครั้ง”
การไหลออกจากกระดานซื้อขายกลับมาเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน โดย ETH เคยร่วงจาก 3,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 417,000 บาท) เหลือ 1,500 ดอลลาร์ (ประมาณ 208,000 บาท) เมื่อต้นปี ทำให้มีการฝากเข้าแพลตฟอร์มมากขึ้น แต่หลังจากเดือนมิถุนายน กระแสเริ่มกลับทิศ และปริมาณ ETH ที่ไหลออกจากกระดานสู่กระเป๋าเก็บความปลอดภัยสูงหรือแพลตฟอร์มดีไฟน์ เพิ่มขึ้นถึง 200,000 ถึง 400,000 ETH ต่อเดือน ปรากฏการณ์นี้สะท้อน ‘แรงขายที่คลายตัว’ และ ‘ความต้องการถือระยะยาว’ ซึ่งช่วยหนุนราคาฟื้นตัวขึ้นทะลุ 4,500 ดอลลาร์ (ประมาณ 625,000 บาท)
อีกด้านหนึ่ง ‘การวางเดิมพัน (staking)’ ของ ETH เริ่มเข้าสู่ภาวะเย็นตัว ตั้งแต่ปลายปี 2024 ถึงสิงหาคม 2025 มีปริมาณสเตคสูงสุดถึง 300,000 ETH ต่อวัน แต่พอเข้าสู่เดือนกันยายน ยอดสเตคกลับลดลงเหลือเพียง 8,400 ETH ต่อวัน ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดในรอบปี สะท้อน ‘ความไม่มั่นใจในระยะสั้นต่อเครือข่าย’ หรือสถานการณ์ ‘รอดูท่าที’
ราคาล่าสุดของ ETH อยู่ที่ประมาณ 4,600 ดอลลาร์ (ประมาณ 639,000 บาท) ซึ่งเข้าใกล้ระดับสูงสุดเดิม โดยแพลตฟอร์มวิจัยคริปโตฯ มิลค์โร้ดคาดการณ์ว่า หาก ETH ทะลุแนวต้านเดิมได้ จะเข้าสู่ภาวะ ‘การค้นหาราคาใหม่ (price discovery)’ ซึ่งอาจนำไปสู่การพุ่งขึ้นอีกถึง 240% หรือแตะระดับสูงสุดที่ 16,500 ดอลลาร์ (ประมาณ 2,294,000 บาท)
อย่างไรก็ตาม หาก ETH ไม่สามารถฝ่าระดับแนวต้านได้ ก็มีโอกาสที่ตลาดจะเข้าสู่ช่วงพักตัวและปรับฐานในระยะสั้น ทั้งนี้ ทิศทางระยะถัดไปขึ้นอยู่กับ ‘กลยุทธ์ของนักลงทุนรายใหญ่’ และ ‘ความกล้าเสี่ยงโดยรวมของตลาด’ ซึ่งเห็นสัญญาณผสมระหว่างการฟื้นตัวและความร้อนแรงจนเกินไป จึงควรใช้ความระมัดระวังในการตัดสินใจลงทุนในช่วงนี้เป็นพิเศษ
ความคิดเห็น 0