ในปี 2025 อุตสาหกรรมบล็อกเชนกำลังก้าวสู่การเติบโต *บนพื้นฐานการใช้งานจริง* อย่างเป็นรูปธรรม แทนที่จะพึ่งพาเพียงกระแสคาดหวังหรือการเก็งกำไรเพียงอย่างเดียว โดยเครือข่ายที่ให้ความสำคัญกับ *ประสิทธิภาพค่าใช้จ่าย* และ *อินเทอร์เฟซที่เป็นมิตรกับผู้ใช้* ได้เร่งขยายระบบนิเวศของ *การเงินไร้ตัวกลาง(DeFi)* และ *โทเคนที่ไม่สามารถทดแทนได้(NFT)* พร้อมทั้งดึงดูดผู้ใช้งานใหม่หลายสิบล้านรายเข้าสู่โลกคริปโต
หนึ่งในดัชนีหลักที่สะท้อนการเติบโตที่เชื่อมโยงกับนวัตกรรมทางเทคโนโลยีคือ จำนวน *ผู้ใช้งานที่ใช้งานจริง* ซึ่งวัดจากจำนวน ‘ที่อยู่กระเป๋า’ ที่มีการทำธุรกรรมจริง ตัวเลขนี้ไม่เพียงสะท้อนปริมาณธุรกรรม แต่ยังบ่งชี้ถึงระดับการใช้งานจริงของโครงการต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะการเข้ามาของเงินทุนจากสถาบันผ่าน ETF บิตคอยน์(BTC) การเป็นพันธมิตรกับแพลตฟอร์มระดับเมเจอร์ และการใช้งานเพิ่มขึ้นของ *สเตเบิลคอยน์* ต่างมีบทบาทสำคัญในการดึงผู้ใช้งานเข้าสู่ระบบนิเวศบล็อกเชน
โครงการบล็อกเชนที่เติบโตโดดเด่นในปี 2025 นั้นประกอบด้วยชื่อที่คุ้นเคยอย่าง โซลานา(SOL), โพลิกอน(MATIC), อาร์บิทรัม(ARB), และออพติมิซึม(OP) รวมถึงโปรโตคอลหน้าใหม่อีกหลายราย ที่ต่างแข่งกันนำเสนอโซลูชันทั้งแบบ *เลเยอร์1(L1)* และ *เลเยอร์2(L2)* เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขยายเครือข่ายและลดต้นทุน L1 คือเครือข่ายที่มีระบบฉันทามติของตนเอง ส่วน L2 คือโครงสร้างที่ทำงานบนบล็อกเชน L1 เช่น อีเธอเรียม(ETH) คือ L1 ในขณะที่โพลิกอนทำหน้าที่เป็น L2 บนเครือข่ายของอีเธอเรียม
แม้จำนวนผู้ใช้งานจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ยังมีอุปสรรคสำคัญที่ต้องจับตา เช่น การรายงานข้อมูลที่เกินจริง, การแลกเปลี่ยนระหว่างความเร็วและความปลอดภัยของเครือข่าย, ความขัดแย้งทางเทคนิคระหว่าง L1 และ L2 รวมถึงแรงกดดันด้านกฎระเบียบ นอกเหนือจากจำนวนผู้ใช้แล้ว นักวิเคราะห์ยังพิจารณาตัวชี้วัด *มูลค่าตลาดแบบ Fully Diluted Valuation (FDV)* ซึ่งคือมูลค่าของโครงการหากโทเคนทั้งหมดถูกปล่อยออกสู่ตลาด เพื่อประเมินความเหมาะสมของราคาและความเสี่ยงในการลงทุน
ในบรรดาโปรเจกต์บล็อกเชนที่มีอัตราการเติบโตรวดเร็วในปัจจุบัน ‘โซลานา(SOL)’ ถือว่าโดดเด่นที่สุด โดยเป็น L1 ที่ใช้กลไกฉันทามติแบบ *Proof-of-History (PoH)* ทำให้สามารถประมวลผลธุรกรรมได้หลายพันรายการต่อวินาที ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายนระบุว่า โซลานามีผู้ใช้งานรายเดือนกว่า *57 ล้านราย* และมีปริมาณการซื้อขายโทเคนในช่วง 30 วันที่ผ่านมากว่ามูลค่า *2.842 แสนล้านดอลลาร์ (ราว 395 ล้านล้านวอน)* ขณะที่ *FDV อยู่ที่ 1.072 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 1.488 ล้านล้านวอน)* ปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโตมาจากการขยายระบบนิเวศของ DeFi และ NFT ความนิยมของการซื้อขายโทเคนประเภท ‘มีม’ แบบความเร็วสูง การใช้งานไคลเอนต์ Firedancer เพื่อเพิ่มความเสถียร รวมถึงการใช้งานของสถาบัน อย่างไรก็ตาม *ปัญหาเครือข่ายที่เคยเกิดขึ้นหลายครั้งในอดีต* และ *ข้อถกเถียงเกี่ยวกับการรวมศูนย์* ยังเป็นความเสี่ยงที่คงอยู่ เช่นเดียวกับการแข่งขันกับเทคโนโลยี L2
ปี 2025 จึงอาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่บล็อกเชนเปลี่ยนจากเทคโนโลยีที่ดูน่าจับตา ไปสู่โครงสร้างพื้นฐานที่ *ผู้ใช้งานจริงเลือกใช้* ได้อย่างแท้จริง ความสนใจในเวลานี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่นักลงทุนอีกต่อไป เพราะทั้งนักพัฒนาและภาคธุรกิจต่างหันมาถามคำถามเดียวกันว่า “โครงการนี้ มีคนใช้งานจริงหรือไม่?”
ความคิดเห็น 0