ประวัติศาสตร์มักจะหมุนเวียนซ้ำรอย และในแวดวงคริปโต ก็มีตัวอย่างความสำเร็จที่น่าสนใจหลายกรณีที่เริ่มต้นจากราคาหน่วยละไม่กี่เซนต์ โทเคนอย่างไบแนนซ์คอยน์(BNB) และริปเปิล(XRP) ก็คือหนึ่งในนั้น ล่าสุดนักวิเคราะห์คริปโตเริ่มพูดถึงโปรเจกต์ใหม่อย่าง ‘ดิจิแท็ป(Digitap)’ และโทเคน ‘TAP’ ที่อยู่ในช่วงพรีเซลล์ ว่าอาจดำเนินรอยเดียวกัน โดยปัจจุบัน TAP มีราคาขายล่วงหน้าอยู่ที่ 0.012 ดอลลาร์ หรือประมาณ 17 บาท ซึ่งทำให้นึกถึงช่วงต้นของ BNB เมื่อมีราคาเพียง 0.10 ดอลลาร์ (ราว 139 บาท) และ XRP ที่เริ่มต้นที่ 0.05 ดอลลาร์ (ราว 70 บาท)
ไบแนนซ์คอยน์(BNB) เปิดตัวในปี 2017 โดยใช้เป็นโทเคนสำหรับลดค่าธรรมเนียมการเทรดในแพลตฟอร์มไบแนนซ์ โดยในช่วงนั้นแทบไม่มีใครคาดคิดว่าโทเคนนี้จะมีอนาคตสดใส แต่หลังจากไบแนนซ์เติบโตขึ้นเป็นหนึ่งในกระดานซื้อขายระดับโลก ราคาของ BNB ก็พุ่งแตะระดับสูงสุดที่ 700 ดอลลาร์ หรือประมาณ 973,000 บาทในปี 2021 ขณะที่ริปเปิล(XRP) ในช่วงปลายปี 2017 ก็สามารถพุ่งทะลุ 3 ดอลลาร์ (ราว 4,170 บาท) ขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ของสินทรัพย์ดิจิทัลตามมูลค่าตลาด แซงหน้าอีเธอเรียม(ETH) ได้ในตอนนั้น
สิ่งที่โทเคนเหล่านี้มีเหมือนกันคือ *การมีกรณีใช้งานจริง* ไม่ใช่แค่เล่นบนกราฟเทรดเท่านั้น แต่ตอบโจทย์การใช้งานชัดเจน สร้างทั้งชุมชนและความต้องการได้จริง ซึ่ง *ความคิดเห็น* ของหลายฝ่ายก็มองว่า TAP ของดิจิแท็ปก็เดินตามแนวทางเดียวกัน
หนึ่งในฟีเจอร์สำคัญที่สุดของ TAP ก็คือ *ฟังก์ชั่นการชำระเงินผ่านบัตรวีซ่า* ซึ่งผู้ใช้สามารถใช้ TAP เหมือนเงินสดในชีวิตประจำวันทั้งใน Apple Pay, Google Pay รวมถึงการออกบัตรเสมือนเพื่อใช้ซื้อของออนไลน์ได้อย่างเป็นส่วนตัว และยังเน้นไปที่ตลาดส่งเงินข้ามประเทศ ด้วยการลดค่าธรรมเนียมไปต่ำกว่า 1% ซึ่งเจาะเข้ากลุ่มตลาดโอนเงินทั่วโลกที่มีมูลค่าสูงถึงราว 1,195 ล้านล้านบาท
ในด้านโทเคโนมิกส์ TAP มีการจำกัดจำนวนโทเคนไว้ที่ 2 พันล้านเหรียญ และใช้ระบบเบิร์น (การเผาเหรียญ) เพื่อลดอุปทานในระยะยาว อีกทั้งยังมีระบบสเตกที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดถึง 124% ต่อปีในช่วงพรีเซลล์ เพิ่มแรงจูงใจต่อผู้เข้าร่วมตั้งแต่แรกเริ่ม
ทีมพัฒนายังมองว่า ดิจิแท็ปจะเป็น “*แอปธนาคารครบวงจร (omni-banking app)*” ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างบล็อกเชนและโครงสร้างพื้นฐานการเงินแบบดั้งเดิม เป็นระบบชำระเงินแบบหลายราง (multi-rail payment system) ที่รองรับทั้งการใช้งานแบบไม่ต้องยืนยันตัวตน (No-KYC) และการปรับตัวเข้ากับข้อกำกับของภาครัฐ ทำให้กลายเป็นแพลตฟอร์มที่มีจุดยืนแตกต่างจากโปรเจกต์ทั่วไป
แน่นอนว่าสภาพแวดล้อมของตลาดในวันนี้ไม่เหมือนกับช่วงที่ BNB และ XRP เริ่มต้น ทั้งด้านกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้นและการแข่งขันที่สูงขึ้น ซึ่งความคิดเห็นบางส่วนก็มองว่าการมีกรอบควบคุมที่ชัดเจนเช่นนี้ อาจเป็น ‘ข้อได้เปรียบ’ หากโปรเจกต์สามารถตอบสนองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คำถามที่ว่า “*ดิจิแท็ปจะเติบโตได้แบบ BNB หรือ XRP หรือไม่?*” ยังเร็วเกินไปที่จะตอบ แต่ด้วย ‘ราคาต่ำในช่วงเริ่มต้น’, ‘กรณีใช้งานจริง’ และ ‘วิสัยทัศน์ที่ชัดเจน’ ทั้ง 3 องค์ประกอบพร้อมหน้า ก็ถือเป็นสัญญาณที่น่าจับตา เพราะในตลาดคริปโต การสังเกตเห็นโอกาสตั้งแต่ต้นทาง คือสิ่งที่สร้างความได้เปรียบเสมอ เวลาจะเป็นผู้เฉลยว่า TAP จะตกเป็นหนึ่งในเรื่องราวความสำเร็จหรือไม่
ความคิดเห็น 0