กระแสการปฏิวัติด้วยปัญญาประดิษฐ์(AI)ได้เขย่าระบบนิเวศทางเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามในสภาวการณ์ที่ไม่แน่นอนนี้ ทั้งตลาดหุ้นและบิตคอยน์(BTC)กลับถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่ ‘มีความสามารถในการอยู่รอดสูง’ โดยเฉพาะบริษัทที่สามารถปรับใช้ AI เข้ากับระบบอัตโนมัติและโมเดลธุรกิจใหม่ กำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในตลาด การตอบสนองต่อการพัฒนาเทคโนโลยีจึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจลงทุน
การเติบโตของ AI ในปัจจุบันยังเป็นแรงผลักดันอย่างมากให้กับการเกิดขึ้นของธุรกิจใหม่ในสาขาโรโบติกส์, เทคโนโลยีชีวภาพ และอุตสาหกรรมอวกาศ สร้างโอกาสในการเติบโตต่อเนื่องให้กับหุ้นของบริษัทในกลุ่มนี้ ส่วนในฝั่งของบิตคอยน์ นอกเหนือจากการถูกขนานนามว่าเป็น ‘ทองคำดิจิทัล’ ปัจจัยชี้วัดอนาคตของมันจะอยู่ที่ว่า จะสามารถปรับตัวสู่การเป็น ‘เครื่องมือชำระเงินที่แท้จริง’ ได้มากน้อยแค่ไหน
บทบาทของ AI ยังช่วยเพิ่มความสามารถในการขยายเครือข่ายและความเร็วในการประมวลผลธุรกรรมของบิตคอยน์ได้อีกด้วย ซึ่งอาจทำให้การใช้งานในชีวิตประจำวันกลายเป็นเรื่องเป็นไปได้มากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น บิตคอยน์ยังทำงานอยู่บนระบบที่ ‘ไร้ศูนย์กลาง’ ซึ่งปราศจากการแทรกแซงจากความขัดแย้งทางการเมืองหรือผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม ส่งผลให้สามารถโฟกัสไปที่การพัฒนาเทคโนโลยีอย่างเต็มที่
ในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า ทั้งนักลงทุนรายย่อยและภาคธุรกิจจะต้องเผชิญกับ ‘ยุคแห่งการปรับตัว’ อย่างจริงจัง เนื่องจากตลาดแรงงานและระบบการเงินกำลังถูกเปลี่ยนโฉมภายใต้อิทธิพลของ AI กลยุทธ์การลงทุนจึงจำเป็นต้องปรับตัวตาม ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า การจัดพอร์ตให้เน้นไปที่สินทรัพย์ซึ่งสามารถ ‘เคลื่อนไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลง’ จะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและชาญฉลาดกว่า
หากมองย้อนกลับไป ตลาดทุนแบบดั้งเดิมถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในปี 1602 ผ่านการก่อตั้งบริษัทอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ ก่อนจะขยายสู่ลอนดอนและนิวยอร์กในเวลาต่อมา โดยทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มสำหรับการระดมทุนและการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เหล่าบริษัทที่สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีได้อย่างยืดหยุ่น ก็สามารถผ่านพ้นวิกฤตใหญ่และช่วงเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมมาได้ ในทำนองเดียวกัน บริษัทที่นำ AI มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล, ระบบอัตโนมัติ และพัฒนาธุรกิจใหม่ จึงเป็น ‘เป้าหมายการลงทุนที่น่าสนใจ’ เช่นเดียวกัน
ดัชนีหลักอย่าง S&P 500 เคยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยแบบปรับอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ราว 7-10% ต่อปีในระยะยาว เป็นสถิติที่แสดงให้เห็นว่า ‘หุ้นยังคงมีความน่าสนใจ’ ในระยะยาว แต่ถ้ามองจากผลตอบแทน บิตคอยน์กลับพุ่งขึ้นสูงมากกว่าหุ้นหลายเท่า แม้จะมีความผันผวนสูง แต่สำหรับนักลงทุนในช่วงแรก มันสร้างผลกำไรอย่างมหาศาล
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครสามารถพยากรณ์ได้แน่ชัดว่า ‘ตลาดการเงินจะหน้าตาเป็นอย่างไรในอีก 50 ปีข้างหน้า’ แต่เมื่อพิจารณาผลกระทบของ AI ต่ออุตสาหกรรมการเงินและกลุ่มสินทรัพย์ในปัจจุบัน ก็สามารถสร้างกรอบในการตัดสินใจว่า ‘ควรลงทุนในบิตคอยน์หรือหุ้นมากกว่ากัน’
สุดท้ายแล้ว สิ่งสำคัญคือ ‘ใครปรับตัวได้เร็วกว่าในยุคของ AI’ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นหรือบิตคอยน์ เงื่อนไขในการอยู่รอดก็เหมือนกันทั้งหมด นักลงทุนจึงควรติดตามทิศทางใหม่ของยุคสมัยอย่างใกล้ชิด และเปิดรับการเปลี่ยนแปลงในฐานะ ‘โอกาส’ แทนที่จะมองว่าเป็นความเสี่ยง
ความคิดเห็น 0