บิตคอยน์(BTC) พุ่งทะยานแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ที่ 116,500 ดอลลาร์ (ราว 1.61 ล้านบาท) หลังสถานการณ์ 'ชัตดาวน์' ของรัฐบาลสหรัฐฯ ส่งผลให้นักลงทุนกลับมาเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้ง โดยราคาบิตคอยน์สามารถฝ่าแนวต้านสำคัญได้สำเร็จและพลิกกลับมาเป็นเทรนด์ขาขึ้น ซึ่งการดีดตัวครั้งนี้ยังส่งแรงบวกไปยังตลาดอัลต์คอยน์หลายเหรียญที่พากันราคาพุ่งสองหลัก
ก่อนหน้านี้ บิตคอยน์เผชิญแรงกดดันขายต่อเนื่อง และเมื่อวันที่ 26 กันยายน ราคาลดลงไปอยู่ต่ำกว่า 109,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1.51 ล้านบาท) สร้างจุดต่ำสุดใหม่หลายสัปดาห์ติดต่อกัน อย่างไรก็ตาม แรงซื้อเริ่มกลับเข้ามาตั้งแต่ช่วงสุดสัปดาห์ และในวันจันทร์ก็สามารถฟื้นตัวเหนือระดับ 112,500 ดอลลาร์ (ประมาณ 1.56 ล้านบาท) ได้อีกครั้ง แม้จะเจอแรงขายกดดันเมื่อแตะแนวต้านที่ 115,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1.59 ล้านบาท) แต่หลังจากมีข่าวการ ‘ชัตดาวน์’ รัฐบาลสหรัฐฯ อย่างไม่คาดคิด ราคาได้ดีดกลับทะลุแนวต้านไปแตะ 116,500 ดอลลาร์สำเร็จ
ราคาที่พุ่งขึ้นนี้ส่งผลให้มูลค่าตลาดรวมของบิตคอยน์พุ่งทะลุ 2.32 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 3,224 ล้านล้านบาท) โดยมี ‘สัดส่วนครองตลาด’ (Dominance) ถึง 56.7% สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนในเหรียญเบอร์หนึ่งของตลาด ขณะเดียวกัน สัญญาณเชิงบวกในตลาดยังทำให้เงินทุนไหลเวียนเข้าสู่อัลต์คอยน์หลายตัว
อีเธอเรียม(ETH) ปรับขึ้น 4% มาอยู่ที่ 4,300 ดอลลาร์ (ประมาณ 597,000 บาท), ริปเปิล(XRP) ก็ขยับขึ้นเหนือ 2.90 ดอลลาร์ (ราว 4,030 บาท) ส่วนไบแนนซ์คอยน์(BNB) ทะลุแนวต้าน 1,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 139,000 บาท) ได้สำเร็จ นอกจากนี้ เหรียญอันดับต้นๆ อย่าง โซลานา(SOL), ดอจคอยน์(DOGE), อาดา(ADA) และอวาแลนเช(AVAX) ต่างเคลื่อนไหวในแดนบวก
ในกลุ่มอัลต์คอยน์ที่ปรับขึ้นแรงที่สุด ได้แก่ เจ็ตแคช(ZEC) ที่ทะยาน 40% ภายใน 24 ชั่วโมง ขณะที่เหรียญขนาดกลางอย่าง พัมพ์ฟัน(Pump.fun) และเพนกวิน(PENGU) ก็เด้งขึ้นกว่า 27% และ 12% ตามลำดับ ความเคลื่อนไหวนี้ถือเป็นสัญญาณของ ‘ความร้อนแรง’ ที่กำลังกลับสู่ตลาดคริปโต
ในภาพรวม มูลค่าตลาดรวมของคริปโตทั้งหมดเพิ่มขึ้นราว 1 แสนล้านดอลลาร์ (ประมาณ 139 ล้านล้านบาท) ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ส่งผลให้มูลค่าตลาดรวมแตะระดับ 4.1 ล้านล้านดอลลาร์ (ประมาณ 5,699 ล้านล้านบาท) ซึ่ง ‘ความคิดเห็น’ ทางการเงินบางส่วนมองว่าสิ่งนี้สะท้อนการฟื้นตัวของความมั่นใจท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความชัดเจนว่าการดีดตัวครั้งนี้เป็นเพียง ‘การรีบาวด์ระยะสั้น’ หรือเป็นจุดเริ่มต้นของขาขึ้นรอบใหม่ แต่นักวิเคราะห์บางรายระบุว่า การที่บิตคอยน์และเหรียญหลักอื่นสามารถฝ่าแนวต้านทางเทคนิคได้นั้น ถือเป็นการเปิด ‘ช่องว่างการฟื้นตัว’ ที่มีน้ำหนักในแง่บวกอยู่มากในระยะสั้น
ความคิดเห็น 0