เกรย์สเกล(Grayscale) ผู้จัดการสินทรัพย์คริปโตที่ใหญ่ที่สุดในโลก เปิดตัวผลิตภัณฑ์การลงทุนแบบใหม่ในรูปแบบอีทีพี (ETP) ที่มีฟีเจอร์ *สเตกกิ้งของอีเธอเรียม(ETH)* เป็นครั้งแรกในสหรัฐฯ ท่ามกลางช่วงเวลาที่ *ราคาอีเธอเรียมกำลังพุ่งสูงและใกล้เคียงระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์* ซึ่งช่วยดึงดูดความสนใจจากตลาด
เมื่อวันที่ 6 (เวลาท้องถิ่น) เกรย์สเกลประกาศว่า อีทีเอฟอิงตามอีเธอเรียมสองรายการ ได้แก่ ‘Grayscale Ethereum Trust ETF (ETHE)’ และ ‘Grayscale Ethereum Mini Trust ETF (ETH)’ จะมีการเพิ่มฟีเจอร์ *สเตกกิ้ง* อย่างเป็นทางการ โดยนับเป็นครั้งแรกในสหรัฐฯ ที่มีอีทีเอฟคริปโตที่เสนอรายได้จากการสเตก ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของวงการ
ไม่เพียงแค่นั้น เกรย์สเกลยังจัดการเพิ่มฟีเจอร์สเตกกิ้งให้กับผลิตภัณฑ์โซลานา(SOL) ที่ชื่อ ‘Grayscale Solana Trust (GSOL)’ ซึ่งปัจจุบันซื้อขายผ่านตลาดนอกเคาน์เตอร์ (OTC) และอาจมีการนำเข้าสู่ตลาดหลัก เช่น Nasdaq หากได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล
ผลิตภัณฑ์ ETHE ถูกออกแบบมาเพื่อจ่ายเงินปันผลในรูปแบบเงินสดให้กับนักลงทุน ในขณะที่ ETH มุ่งดึงดูดความสนใจผ่านโครงสร้างการลงทุนแบบทบต้น โดยนำรายได้จากการสเตกไปรวมกับมูลค่าสินทรัพย์รวม (NAV) ซึ่งช่วยให้ผู้ถือหน่วยลงทุนได้รับผลตอบแทนแบบสะสมได้ ‘ปีเตอร์ มินซ์เบิร์ก(Peter Mintzberg)’ ซีอีโอของเกรย์สเกล ระบุว่า การเพิ่มฟีเจอร์นี้สะท้อนถึง *กลยุทธ์ผู้บุกเบิก (First Mover)* ที่บริษัทมุ่งมั่นมาโดยตลอด
ในช่วงเวลาที่ตลาด ETF กำลังดุเดือด การเคลื่อนไหวครั้งนี้สะท้อนถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นต่อสินค้านวัตกรรมที่ขับเคลื่อนโดยอีเธอเรียมในตลาดสหรัฐฯ โดย ETHE เคยสูญเสียเงินทุนกว่า *4.5 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 62,550 ล้านบาท)* จากการแข่งขันกับอีทีเอฟของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง แบล็คร็อก(BlackRock) และ ฟิเดลิตี้(Fidelity) ที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมต่ำกว่า แต่ ETH ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ กลับดึงเงินลงทุนไหลเข้าแล้วกว่า *1.5 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 20,850 ล้านบาท)* นับว่าเป็น ‘สัญญาณฟื้นตัว’ ที่สำคัญ
เกรย์สเกลระบุว่า การดำเนินการสเตกกิ้งใน ETF จะเป็นแบบ ‘พาสซีฟ’ (passive) ผ่านความร่วมมือกับผู้ให้บริการโหนดและผู้ดูแลสินทรัพย์เฉพาะทาง เพื่อรักษาความปลอดภัยและประสิทธิภาพของเครือข่ายบล็อกเชน พร้อมกันนี้ยังมีแผนให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการสเตกสำหรับนักลงทุนทั่วไปในอนาคตอันใกล้
*ความคิดเห็น* จากผู้เชี่ยวชาญระบุว่า การที่ ETF เปิดรับรายได้จากการสเตก จะทำให้อีทีเอฟเปลี่ยนบทบาทจากการเพียงสะท้อนราคาสินทรัพย์ มาเป็นเครื่องมือสร้างผลตอบแทนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ปัจจุบันบนเครือข่ายอีเธอเรียมมีการนำเหรียญมาสเตกแล้วจำนวน *35.7 ล้าน ETH* หรือราว 30% ของเหรียญทั้งหมด ขณะที่จำนวน ETH ที่รอถอนสเตกยังสูงอยู่ที่ *2.5 ล้านเหรียญ* ซึ่งสะท้อนถึงกระแสที่ยังเคลื่อนไหวในระบบอย่างแข็งแกร่ง
ในส่วนของราคาตลาด อีเธอเรียมล่าสุดทำสถิติสูงสุดในรอบสามสัปดาห์ โดยแตะระดับ *4,734 ดอลลาร์ (ประมาณ 658,000 บาท)* เมื่อวันจันทร์ และย่อลงมาอยู่ที่ *4,680 ดอลลาร์ (ประมาณ 651,000 บาท)* ในช่วงเช้าของวันอังคาร (ตามเวลาเอเชีย) ซึ่งถือว่าต่ำกว่าระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เพียง 5.4% เท่านั้น โดยมีการประเมินว่านี่อาจเป็นสัญญาณของ *การรีเซตสภาพคล่อง* (liquidity reset) ที่เสร็จสิ้นแล้ว
ด้านเทรดเดอร์ชื่อ ‘Merlijn the Trader’ ให้ความเห็นว่า ‘กราฟอีเธอเรียมกำลังเปล่งประกายถึงการขยายตัวที่ชัดเจน’ พร้อมคาดการณ์ว่า ETH อาจทะยานขึ้นไปถึง *10,000–14,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1.39–1.946 ล้านบาท)* ในรอบไซเคิลนี้
ความเคลื่อนไหวของเกรย์สเกลจึงอาจกระตุ้นให้ผู้จัดการสินทรัพย์รายใหญ่อื่นๆ อย่างแบล็คร็อกหรือฟิเดลิตี้ ออกผลิตภัณฑ์สเตกกิ้งอีทีเอฟตามมาในอนาคต ซึ่งเป็นพัฒนาการที่ *ตอกย้ำศักยภาพของอีเธอเรียม* ในระบบการเงินยุคใหม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ความคิดเห็น 0