แรงดึงดูดในตลาดคริปโตกลับมาสู่ *บิตคอยน์(BTC)* อีกครั้ง หลังจากที่เงินทุนไหลเข้าสู่กองทุน ETF แบบสปอตของบิตคอยน์แซงหน้า *อีเธอเรียม(ETH)* อย่างชัดเจน โดยเฉพาะ iShares บิตคอยน์ ETF (IBIT) ของแบล็คร็อก ซึ่งสามารถดึงดูดเงินลงทุนใหม่ได้มากถึง 970 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 34,800 ล้านบาท) ภายในวันเดียว สะท้อนถึงกระแสการปรับพอร์ตของนักลงทุนสถาบันที่ชัดเจนมากขึ้น
นักวิเคราะห์ตลาดชื่อ มาร์ทุน(Maartun) ระบุผ่าน X (เดิมคือทวิตเตอร์) ว่า ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา บิตคอยน์สามารถดึงดูดเงินทุนได้ประมาณ 4,610 ล้านดอลลาร์ (ราว 64,000 ล้านบาท) ขณะที่อีเธอเรียมได้เพียง 1,050 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 14,500 ล้านบาท) พร้อมชี้ว่า *“ทิศทางชัดเจนว่าเงินทุนกำลังไหลจาก ETH ไปยัง BTC”*
แนวโน้มนี้ยังสะท้อนผ่านอัตราส่วนราคาระหว่าง ETH/BTC ที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสัญญาณว่าความสนใจและความเชื่อมั่นของนักลงทุนกำลังเอียงกลับไปที่บิตคอยน์อีกครั้ง แม้ว่ากองทุน ETF แบบสปอตของอีเธอเรียมจะเคยเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในเดือนสิงหาคมที่มียอดเงินไหลเข้าระดับสัปดาห์ทะลุ 2,300 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 31,900 ล้านบาท) จนทำให้ยอดรวมสะสมทะลุ 14,400 ล้านดอลลาร์ (ราว 201,600 ล้านบาท) และมีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) เกิน 30,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 417,000 ล้านบาท) แต่ช่วงหลังกลับเริ่มชะลอตัวลงอย่างชัดเจน
ข้อมูลเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ระบุว่า ETF บิตคอยน์แบบสปอตมีเงินไหลเข้าสูงถึง 1,190 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 16,500 ล้านบาท) ภายในวันเดียว โดย IBIT ของแบล็คร็อกมีสัดส่วนถึง 969.95 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 13,483 ล้านบาท) และ FBTC ของฟิเดลิตี้(Fidelity) ตามมาที่ 112.32 ล้านดอลลาร์ (ราว 1,561 ล้านบาท) ขณะที่ฝั่งอีเธอเรียมในวันเดียวกันมียอดไหลเข้าเพียง 233.55 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3,243 ล้านบาท) โดย ETHA ของแบล็คร็อกรับไป 92.59 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1,284 ล้านบาท), ETHW ของบิตไวส์(Bitwise) ได้ 26.99 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 375 ล้านบาท) และ FETH ของฟิเดลิตี้ได้เพียง 23.52 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 327 ล้านบาท)
หนึ่งในแกนหลักของความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้คือ IBIT ซึ่งเติบโตในอัตราที่ *เร็วกว่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์* โดยตามข้อมูลจากเนต เจราซี(Nate Geraci) ประธานบริษัทหลักทรัพย์ โนวาดิอุส (Nobodius Capital) ระบุว่า กองทุนนี้ใช้เวลาเพียงประมาณ 450 วันนับตั้งแต่เปิดตัวเพื่อเข้าใกล้เป้าหมาย 100,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 1.39 ล้านล้านบาท) ในการบริหารสินทรัพย์ ขณะที่กองทุน ETF ขนาดใหญ่อย่าง Vanguard S&P 500 ETF ใช้เวลานานกว่านั้นถึง 2,000 วัน
จนถึงปัจจุบัน IBIT มียอดเงินไหลเข้าสะสมกว่า 62,630 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 870,000 ล้านบาท) โดยมีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารอยู่ที่ 96,200 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.33 ล้านล้านบาท) และทำผลตอบแทนได้ 22.47% ตั้งแต่ต้นปี และ 3.18% ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา ตัวเลขเหล่านี้ *สะท้อนถึงความมั่นใจของนักลงทุนสถาบันที่หันมามองหาทรัพย์สินที่มีความผันผวนต่ำกว่า* อย่างบิตคอยน์อีกครั้ง
เมื่อบิตคอยน์กลับมายึดครองพื้นที่ ETF และกลายเป็นจุดสนใจหลักในสายตานักลงทุนอีกครั้ง การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมการลงทุนระหว่าง ETH และ BTC จึงกลายเป็นสัญญาณที่สำคัญ ซึ่งอาจมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อทิศทางของตลาดคริปโตในระยะต่อไป ความเคลื่อนไหวล่าสุดนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของ *การกลับมาของบิตคอยน์ในฐานะผู้นำ ETF ด้านสกุลเงินดิจิทัลอีกครั้ง*
ความคิดเห็น 0