ตลาดคริปโตในสัปดาห์ที่สองของเดือนตุลาคมเข้าสู่ภาวะระงับความเคลื่อนไหว หลังจากปรับตัวขึ้นแรงในช่วงต้นเดือน อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงมี ‘ความคาดหวัง’ ต่อแรลลีช่วง ‘อัปโทเบอร์’ โดยเชื่อว่าจะเป็นการเริ่มต้นของรอบขาขึ้นครั้งใหม่
อีกประเด็นที่เรียกความสนใจจากตลาดได้อย่างมากในรอบสัปดาห์ คือการเคลื่อนไหวของ ‘วาฬบิตคอยน์(BTC)’ รายหนึ่งที่หายตัวไปจากตลาดมาหลายเดือน โดยล่าสุดได้มีการเคลื่อนย้ายบิตคอยน์จากกระเป๋าเงินที่ถือครองสินทรัพย์รวมมูลค่ากว่า 5.15 ล้านล้านวอน (ราว 370,000 ล้านดอลลาร์) ไปยังกระเป๋าเงินร้อนของแพลตฟอร์มการเงินไร้ศูนย์กลาง (DeFi) ที่มีชื่อว่า ‘ไฮเปอร์ยูนิต(Hyperunit)’ คิดเป็นมูลค่าราว 515,000 ล้านวอน หรือประมาณ 36,000 ล้านดอลลาร์ ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ว่าอาจเป็น ‘การปรับพอร์ตสู่สินทรัพย์อีเธอเรียม(ETH)’ อีกครั้ง
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา วาฬรายนี้เคยตกเป็นข่าวหลังจากทำการแลกเปลี่ยนบิตคอยน์มูลค่ากว่า 7 ล้านล้านวอน (ประมาณ 500,000 ล้านดอลลาร์) เป็นอีเธอเรียมในช่วงเวลาสั้นๆ จนแซงหน้าชาร์ปลิงค์(Sharplink) ขึ้นเป็นผู้ถือครองอีเธอเรียมรายใหญ่อันดับสองแบบชั่วคราว ดังนั้น การเคลื่อนไหวครั้งใหม่จึงทำให้ตลาดกลับมาตั้งคำถามว่า หากมีการขายบิตคอยน์เพื่อซื้ออีเธอเรียมเพิ่มเติม อาจเกิด ‘แรงกดดันด้านราคาต่อบิตคอยน์’ ในระยะสั้น
ขณะเดียวกัน ความเคลื่อนไหวของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) ก็ถูกจับตาอย่างใกล้ชิด โดยนับตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม SEC ได้รับคำขอจดทะเบียนกองทุน ETF ที่เกี่ยวข้องกับคริปโตมากถึง 31 รายการ ในช่วงเวลาเพียง 8 วัน ซึ่งอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่จุดไฟให้กับอารมณ์ "อัปโทเบอร์ แรลลี" ที่กำลังลุกลามในหมู่นักลงทุน
อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนทางการเมืองของสหรัฐเริ่มส่งผลกระทบ โดยการปิดหน่วยงานรัฐบาล (Shutdown) ที่ยังไม่สิ้นสุดทำให้การพิจารณาเอกสาร ETF และตารางงานของ SEC ล่าช้าออกไป โดยหน่วยงานเปิดเผยว่าจะใช้งานทีมงานแบบจำกัดจนกว่าจะผ่านงบประมาณใหม่ได้
รายงานจาก CBS News ระบุว่า พรรครีพับลิกันและเดโมแครตยังไม่สามารถตกลงกันได้ แม้จะเจรจามาแล้วกว่า 7 ครั้ง และวุฒิสภามีกำหนดจะหยุดประชุมไปจนถึงวันอังคารหน้า หมายความว่าการปิดหน่วยงานรัฐบาลอาจดำเนินต่อไปอย่างน้อยอีกหนึ่งสัปดาห์ และอาจส่งผลให้การอนุมัติ ETF ถูกเลื่อนออกไปอีก
ความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญระบุว่า แม้จะมีความไม่แน่นอนในระดับมหภาค แต่ความเคลื่อนไหวของวาฬและประเด็น ETF ยังคงมีศักยภาพในการกระตุ้นจิตวิทยาตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากแนวโน้มที่วาฬบางรายเปลี่ยนมา ‘ถือครองอีเธอเรียม’ ดำเนินต่อไปในระยะยาว อาจส่งผลกระทบต่อ ‘สัดส่วนการครองตลาดของบิตคอยน์’ อย่างมีนัยสำคัญ
ความคิดเห็น 0