หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2024 ซึ่งสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อวงการคริปโตฯ อย่างเห็นได้ชัด รีปเปิล(XRP) กลับมาอยู่ในสปอตไลต์อีกครั้ง โดยเฉพาะหลังจากที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งและประกาศนโยบาย ‘สนับสนุนคริปโต’ อย่างชัดเจน ทั้งยังให้คำมั่นว่าจะปลดแกรี เกนส์เลอร์(Gary Gensler) จากตำแหน่งประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ(SEC) ความหวังของตลาดต่อการลดแรงกดดันด้านกฎหมายที่มีต่อรีปเปิลเพิ่มมากขึ้น และเมื่อคดีความที่ยืดเยื้อนานกว่า 4 ปีจบลง รีปเปิลก็เดินหน้าเชิงกลยุทธ์ด้วยวิธีที่แข็งแกร่งที่สุด นั่นคือการเทกโอเวอร์บริษัทเพื่อขยายอำนาจในระบบนิเวศของ XRP
แบรด การ์ลิงเฮาส์(Brad Garlinghouse) ซีอีโอของรีปเปิล เปิดเผยผ่านแพลตฟอร์ม X (เดิมชื่อทวิตเตอร์) ว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รีปเปิลดำเนินการเข้าซื้อกิจการครั้งใหญ่ถึง 5 รายการ โดยย้ำวิสัยทัศน์ ‘อินเทอร์เน็ตแห่งมูลค่า(Internet of Value)’ ซึ่งเป็นทิศทางหลักของบริษัท การเข้าซื้อล่าสุดคือบริษัทนายหน้าระดับโลก Hidden Road ซึ่งเปิดตัวดีลในเดือนเมษายนและปิดดีลในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยขณะนี้รีแบรนด์เป็น ‘Ripple Prime’ เพื่อดำเนินการด้านการเงินระดับสถาบัน
การเริ่มต้นของการขยายกิจการเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2023 เมื่อรีปเปิลซื้อกิจการของ Metaco บริษัทรับฝากสินทรัพย์ดิจิทัลในสวิตเซอร์แลนด์ ด้วยมูลค่า 347.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 4,832 พันล้านวอน) ถัดมาเมื่อต้นปี 2024 ก็ได้ซื้อ Standard Custody แพลตฟอร์มรับฝากคริปโตที่ได้รับการกำกับจากหน่วยงานสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านการเงินสำหรับตลาดสถาบัน พอมาถึงปี 2025 รีปเปิลเดินหน้าอย่างรวดเร็วด้วยการเข้าซื้อบริษัทระบบชำระเงิน Rail ที่เชื่อมโยง Stablecoin กับเงินตราแบบดั้งเดิม มูลค่ากว่า 278 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3,842 พันล้านวอน) และปิดดีลใหญ่มูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.39 ล้านล้านวอน) กับ GTreasury ซึ่งให้บริการโซลูชันบริหารการเงินแก่ภาคธุรกิจ
ความเคลื่อนไหวตลอดเส้นทางนี้ไม่ได้สะท้อนแค่การ ‘ขยายขนาด’ แต่เป็นการเสริม ‘คุณภาพ’ ของโครงสร้างพื้นฐานและศักยภาพด้านการดำเนินงานอย่างแท้จริง การเข้าซื้อ GTreasury ทำให้รีปเปิลสามารถพัฒนาแพลตฟอร์มการบริหารคลังโดยอิงกับ XRP ได้ ส่วนการเข้าซื้อ Hidden Road ก็ถูกมองว่าเป็นยุทธศาสตร์ในการสร้างเครือข่ายชำระเงินและบริหารสินทรัพย์ดิจิทัลในระดับโลกอย่างจริงจัง
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่รีปเปิลรุกหนักในด้านธุรกิจ ราคาของ XRP เองกลับอ่อนตัวลง โดยตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ราคาร่วงลงเกือบ 30% ทำให้เกิดการถกเถียงอย่างกว้างขวางในชุมชนเกี่ยวกับการเปิดตัวสเตเบิลคอยน์ ‘RLUSD’ ว่าเป็นการเข้ามา ‘แทนที่’ XRP หรือเป็นการ ‘เสริม’ บทบาทบางด้านของ XRP กันแน่ แม้ว่ารีปเปิลยังไม่เปิดเผยโครงสร้างทางเทคนิคที่ชัดเจน แต่มีผู้ใช้บางคนแสดงความคิดเห็นว่า “XRP มีจุดเด่นด้านสภาพคล่องสูง และราคาที่สูงขึ้นอาจทำให้การชำระเงินมีประสิทธิภาพมากขึ้น” ขณะที่ RLUSD แม้จะผูกค่าไว้กับดอลลาร์แบบ 1:1 แต่ยังไม่สามารถทดแทนคุณสมบัติเฉพาะของคริปโต เช่น ความสามารถในการบริหารจัดการสภาพคล่อง ได้อย่างแท้จริง
สุดท้ายแล้ว การบูรณาการระหว่างแผนขยายโครงสร้างพื้นฐานของรีปเปิลและบทบาทของ XRP จะเป็นสิ่งที่ต้องเฝ้าจับตามองในระยะยาว แบรด การ์ลิงเฮาส์ยังคงยืนยันว่า XRP คือสินทรัพย์หลักของบริษัท แต่บทบาทที่ชัดเจนระหว่าง XRP และ RLUSD ในการใช้งานจริงจะต้องขึ้นอยู่กับการพัฒนาเทคโนโลยีและกรณีใช้งานที่เกิดขึ้นในอนาคต การรุกคืบควบรวมกิจการอย่างต่อเนื่องนี้อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ ที่ช่วยพารีปเปิลไปสู่การขยายอิทธิพลเหนือระบบเศรษฐกิจดิจิทัลในวงกว้างมากขึ้น ทั้งในแง่การใช้งานจริงและการครองตลาดองค์รวม
ความคิดเห็น 0