ตลาดคริปโตกำลังเผชิญแรงกดดันอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด *โปรโตคอลดีไฟน์ชื่อดังอย่าง บาลานเซอร์(Balancer)* ถูกแฮ็กด้วยมูลค่าความเสียหายรวมกว่า *116 ล้านดอลลาร์* หรือราว *4,000 ล้านบาท* โดยมีการวิเคราะห์ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่การโจมตีแบบฉาบฉวย แต่เป็นแผนการที่ถูกวางไว้อย่างแยบยลมานานหลายเดือน
เมื่อวันที่ 22 (เวลาท้องถิ่น) บาลานเซอร์ ซึ่งเป็น *แพลตฟอร์มดีไฟน์แบบกระจายศูนย์* และทำหน้าที่เป็น *มาร์เก็ตเมคเกอร์อัตโนมัติ (AMM)* ถูกแฮ็กเกอร์ถอนสินทรัพย์ดิจิทัลออกไปจำนวนมาก โดยระบบของบาลานเซอร์นั้นถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถแลกเปลี่ยนและปรับสมดุลสภาพคล่องระหว่างโทเคนต่าง ๆ ได้โดยอัตโนมัติ
คอนเนอร์ โกรแกน ผู้อำนวยการของ *Coinbase* ให้ข้อมูลว่า ผู้โจมตีดำเนินการอย่างระมัดระวัง โดยได้นำเงินไปล้างร่องรอยผ่าน *Tornado Cash* ซึ่งเป็นเครื่องมือผสมธุรกรรมบนบล็อกเชน และ *ได้แบ่งเงินออกเป็นหน่วยละ 0.1 อีเธอเรียม(ETH)* เพื่อใช้สร้างบัญชีใหม่โดยไม่ถูกตรวจสอบ
โกรแกนกล่าวว่า “*แฮ็กเกอร์รายนี้ดูมีประสบการณ์สูง* เขาโอน 100 ETH เข้าสู่ Tornado Cash ตั้งแต่แรก และทยอยถอนออกมาทีละน้อยเพื่อสร้างบัญชีใหม่ ซึ่งไม่มีบันทึกการฝากครั้งใหญ่ที่บ่งชี้ว่าเงินอาจมาจากการแฮ็กในอดีต” ความละเอียดและความซับซ้อนของแผนครั้งนี้ ทำให้นักวิเคราะห์เชื่อว่าแฮ็กเกอร์น่าจะเป็นบุคคลที่เชี่ยวชาญและเคยก่อเหตุในลักษณะเดียวกันมาก่อนแล้ว
การนำเงินจำนวนมหาศาลกว่า *100 ETH* ไปพักไว้ใน *เครื่องมือปิดบังธุรกรรม* อย่าง Tornado Cash แบบไม่แสดงความเคลื่อนไหวเด่นชัด ถือเป็นการกระทำที่หายาก และสะท้อนให้เห็นถึง *ความเป็นมืออาชีพของผู้โจมตี* ในการหลีกเลี่ยงการติดตามของระบบรักษาความปลอดภัยบนบล็อกเชน
ในขณะเดียวกัน บรรยากาศในตลาดคริปโตก็ยิ่งตึงเครียดมากขึ้น เมื่อ *บิตคอยน์(BTC)* ร่วงราคาต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิด *การไหลออกของเงินทุนจากสินทรัพย์ประเภท ETP* (Exchange-Traded Products) ถึง *360 ล้านดอลลาร์* ในสัปดาห์นี้ โดยเหตุการณ์แฮ็กบาลานเซอร์ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กระทบ *ความเชื่อมั่นของนักลงทุน* อย่างมีนัยสำคัญ
ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยได้เตือนว่า การแฮ็กรูปแบบนี้ *อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต* และโครงการต่าง ๆ ในโลกดีไฟน์ควรมุ่งเน้นพัฒนาระบบป้องกันในเชิงรุก ไม่ใช่แค่การออกแบบโค้ดที่ปลอดภัย แต่ต้องใช้การ *วิเคราะห์ข้อมูลแบบออนเชน* เพื่อระบุพฤติกรรมเสี่ยงก่อนจะเกิดเหตุร้าย
*ความคิดเห็น:* เหตุการณ์นี้สะท้อนถึง *ความเปราะบางเชิงโครงสร้าง* ของแพลตฟอร์มดีไฟน์ แม้จะมีระบบอัตโนมัติรองรับการทำงาน แต่หากไม่เสริมความแข็งแกร่งด้านความปลอดภัย ก็อาจกลายเป็นจุดอ่อนสำคัญที่แฮ็กเกอร์มืออาชีพใช้เจาะเข้ามาได้
ความคิดเห็น 0