เทเธอร์(USDT) ซึ่งมีมูลค่าทรัพย์สินสำรองรวมสูงถึง 181.2 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 6.6 ล้านล้านบาท) กำลังก้าวข้ามบทบาทในฐานะ ‘ผู้ออกสเตเบิลคอยน์’ ทั่วไป โดยปัจจุบันมีการสร้างรายได้มหาศาลจากอัตราดอกเบี้ยสูง และถูกเปรียบว่าเริ่มมีหน้าที่คล้าย ‘ธนาคารกลางภาคเอกชน’
เมื่อวันที่ 24 เทเธอร์ได้เปิดเผยรายงานไตรมาสแรกของปี 2025 ซึ่งแสดงข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับมูลค่าทรัพย์สินและหนี้สินของบริษัท โดยมีเงินสำรองรวม 181.2 พันล้านดอลลาร์ ในขณะที่หนี้สินอยู่ที่ 174.5 พันล้านดอลลาร์ เท่ากับว่าบริษัทมีสินทรัพย์ส่วนเกินราว 6.8 พันล้านดอลลาร์ โดยเงินจำนวนมากนี้ถูกจัดสรรไปลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และธุรกรรมสัญญาซื้อคืน(Repo)
ด้วยภาวะ *อัตราดอกเบี้ยสูง* เทเธอร์สามารถสร้างรายได้จากดอกเบี้ยในปี 2025 เพียงแค่ไตรมาสแรกเกิน 10 พันล้านดอลลาร์แล้ว ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงผิดปกติสำหรับบริษัทในอุตสาหกรรมคริปโต และสะท้อนถึงโครงสร้างรายได้ที่ใกล้เคียงสถาบันการเงินแบบดั้งเดิมมากขึ้น
นอกจากนี้ เทเธอร์ยังมีบทบาทที่เกินกว่าการเป็นผู้ให้บริการคริปโต โดยมีความสามารถในการควบคุมและบังคับใช้นโยบายในระบบ เช่น การแช่แข็งที่อยู่กระเป๋าเงิน (Wallet) ตามคำร้องขอหน่วยงานรัฐ หรือการหยุดให้บริการบนบล็อกเชนบางเครือข่าย พร้อมทั้งขยายธุรกิจไปสู่แวดวงอื่น เช่น ใช้กำไรสูงสุด 15% จากกิจการในการซื้อบิตคอยน์(BTC)
ความคิดเห็น: ด้วยแนวทางปฏิบัติเช่นนี้ ผู้เชี่ยวชาญบางรายมองว่า เทเธอร์กำลังทำหน้าที่คล้าย ‘ธนาคารกลางเอกชนที่วางอยู่บนพื้นฐานของดอลลาร์’ อย่างไรก็ตาม โครงสร้างภายในของเทเธอร์ยังมีข้อจำกัดชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบกับธนาคารกลางที่แท้จริง เนื่องจากไม่มีภาระผูกพันด้านสาธารณประโยชน์ ไม่มีระบบป้องกันระดับชาติ และไม่ได้ผ่านการตรวจสอบบัญชีอย่างอิสระโดยหน่วยงานภายนอก
แม้รายได้และบทบาทของเทเธอร์จะสะท้อนให้เห็นจุดตัดระหว่างโลกคริปโตกับการเงินดั้งเดิมอย่างชัดเจน แต่ในอีกมุมหนึ่ง โครงสร้างที่พึ่งพาความเชื่อมั่นเป็นหลัก ก็อาจกลายเป็น ‘ความเสี่ยงสะสม’ ในกรณีที่ความเชื่อมั่นของตลาดสั่นคลอนในอนาคต
ความคิดเห็น 0