ความพยายามในการผลักดันกฎหมายด้านคริปโตที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในปี 2025 กำลังเกิดขึ้นในสหรัฐ โดยกลุ่มนักลงทุนทั่วโลกได้จับตามองความเคลื่อนไหวนี้อย่างใกล้ชิด ล่าสุด เม็กซีเวนเจอร์ส(MEXC Ventures) บริษัทลงทุนด้านบล็อกเชนระดับโลก ได้เผยแพร่รายงานชิ้นใหม่ประเมินว่า ร่างกฎหมายโครงสร้างตลาดคริปโตที่เปิดเผยโดยวุฒิสมาชิกสหรัฐ มีศักยภาพสูงในการเปลี่ยนผ่านวงการสู่ระบบกฎหมายที่เป็นรูปธรรม
ร่างกฎหมายดังกล่าวซึ่งยาวถึง 155 หน้า เสนอโดยวุฒิสมาชิกจอห์น บูซแมนจากพรรครีพับลิกัน และโครี บุ๊กเกอร์จากพรรคเดโมแครต เป็นแนวทางออกแบบใหม่ของระบบกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ ‘สินทรัพย์ดิจิทัล(digital commodity)’ โดยให้อำนาจการกำกับดูแลแก่คณะกรรมการซื้อขายสัญญาสินค้าล่วงหน้า(CFTC) ซึ่งถือเป็นการเปิดช่องให้นักลงทุนสถาบันสามารถเข้าถึงตลาดคริปโตได้อย่างมั่นใจมากขึ้นผ่านโครงสร้างกฎหมายที่ชัดเจน
เม็กซีเวนเจอร์สวิเคราะห์เพิ่มเติมว่า ร่างกฎหมายนี้สามารถช่วยขจัดความไม่แน่นอนทางกฎระเบียบที่ถ่วงตลาดมานาน พร้อมทั้งยกระดับประสิทธิภาพและความโปร่งใสของตลาด นำไปสู่การพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐานของทั้งระบบคริปโตอย่างครอบคลุม
ที่ผ่านมาวงการคริปโตในสหรัฐประสบปัญหาจากความคลุมเครือด้านนโยบาย ซึ่งทำให้บริษัทจัดการลงทุนขนาดใหญ่ลังเลที่จะเข้าร่วม ทั้งยังเกิดความขัดแย้งด้านอำนาจหน้าที่ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(SEC) กับ CFTC เกี่ยวกับบทบาทในการกำกับดูแลเหรียญหลักอย่างบิตคอยน์(BTC) และอีเธอเรียม(ETH)
ร่างกฎหมายฉบับนี้จัดประเภท ‘สินทรัพย์ดิจิทัล’ ให้เป็นกลุ่มสินทรัพย์เฉพาะ โดยกำหนดให้ CFTC มีอำนาจกำกับเต็มรูปแบบในด้านการซื้อขาย ซึ่งช่วยลดความสับสนและไขข้อข้องใจในนิยามอย่างเป็นทางการ โดยในร่างระบุว่าสินทรัพย์ดิจิทัลหมายถึงเหรียญที่สามารถส่งต่อระหว่างบุคคลได้โดยไม่ต้องมีตัวกลาง พร้อมถูกบันทึกในระบบบล็อกเชนที่มีลักษณะกระจายศูนย์และมีความสามารถในการทดแทนกันได้
น่าสนใจคือเหรียญประเภท ‘มีมคอยน์(memecoin)’ เช่น โดชคอยน์ และชีบะอินุ ก็อาจเข้าข่ายความหมายดังกล่าว ซึ่งส่งผลให้นักวิเคราะห์มองว่าความเป็นไปได้ที่มีมคอยน์จะถูกจัดเป็น ‘หลักทรัพย์’ มีแนวโน้มลดลง นอกจากนี้ยังยกเว้นสินทรัพย์ประเภทหลักทรัพย์, สเตเบิลคอยน์แบบมีใบอนุญาต และสินค้าโภคภัณฑ์ดั้งเดิม เช่น พืชไร่ ออกจากขอบเขตของกฎหมาย เพื่อความชัดเจนในการกำกับดูแล
ด้านโครงสร้างตลาด ร่างกฎหมายมีการกำหนดให้ผู้ให้บริการตลาด เช่น กระดานซื้อขาย, ตัวกลาง, ดีลเลอร์ และผู้ดูแลทรัพย์สิน ต้องลงทะเบียนอย่างเป็นทางการ รวมถึงมีข้อบังคับว่าด้วยการแยกเก็บสินทรัพย์ลูกค้าโดยเฉพาะ พร้อมเสนอจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะดูแลนักลงทุนรายย่อยเพื่อเสริมสร้างความมั่นใจ
เม็กซีเวนเจอร์สระบุว่า "การที่กฎหมายกำหนดชัดถึงสถานะทางกฎหมายของสินทรัพย์, มาตรฐานการดูแลทรัพย์สิน และกรอบภาษี จะช่วยให้สถาบันสามารถปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาลทางการเงินได้ดียิ่งขึ้น" โดยกรณีตัวอย่างที่สะท้อนพลังของความชัดเจนทางกฎหมายคือ การอนุมัติ Bitcoin Spot ETF เมื่อต้นปี 2024 ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนสถาบันอัดฉีดเงินเข้าสู่ตลาดกว่า 30,000 ล้านดอลลาร์
การออกแบบกฎหมายให้คล้ายกับตลาดสินค้าโภคภัณฑ์แบบดั้งเดิม เช่น ทองคำ, น้ำมัน, หรือธัญพืช ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับของ CFTC มาหลายสิบปี ยังช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับนักลงทุนและสถาบันการเงินที่คุ้นชินกับระบบดังกล่าว ความเหมือนนี้จะช่วยให้คริปโตสามารถก้าวสู่มาตรฐานเดียวกับตลาดทุนหลัก และอาจนำไปสู่ ‘การยกระดับคุณภาพเชิงโครงสร้าง’ ของทั้งตลาดในระยะยาว
ในระยะสั้น ความรู้สึกบวกต่อสินทรัพย์ที่จัดเป็น ‘สินทรัพย์ดิจิทัล’ ได้แก่ บิตคอยน์(BTC), อีเธอเรียม(ETH), และโซลานา(SOL) มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ในระยะกลาง ตลาดอาจเห็นการแข่งขันที่ดุเดือดระหว่างกระดานเทรดที่ได้รับอนุมัติอย่างเป็นทางการ อันนำไปสู่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอีกขั้น ส่วนระยะยาว ความชัดเจนของกรอบกฎหมายจะเปิดประตูอย่างจริงจังให้ ‘เงินทุนภาคสถาบัน’ จากกองทุนบำนาญและบริษัทประกันเข้าสู่ตลาดคริปโต ซึ่งจะผลักดันให้มูลค่ารวมของสินทรัพย์ดิจิทัลทั่วโลกเติบโตรวดเร็วขึ้นอีกระดับ
แม้ขณะนี้ร่างกฎหมายดังกล่าวยังอยู่ในขั้นตอนหารือ แต่มิติทางการเมืองที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างสองพรรคใหญ่และเจตนารมณ์ที่ชัดเจนในการตั้งระบบระเบียบ ทำให้โอกาสที่กฎหมายจะถูกผลักดันเป็นจริงมีน้ำหนักมากขึ้น เม็กซีเวนเจอร์สชี้ว่า สหรัฐได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนในการเป็นผู้นำด้านมาตรฐานทางการเงินของโลกในภาคสินทรัพย์ดิจิทัล และเตือนนักลงทุนว่าทิศทางระยะยาวของตลาดคริปโตจะผูกกับพัฒนาการทางนโยบายอย่างใกล้ชิด ไม่ใช่เพียงแค่ราคาที่ผันผวนในระยะสั้นเท่านั้น
ความคิดเห็น 0