บิตมайн(BitMine) บริษัทที่ถือครองอีเธอเรียม(ETH)จำนวนมากและเป็นที่จับตามองอย่างรวดเร็วในปีนี้ ได้ประกาศแต่งตั้งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร(CEO)คนใหม่ พร้อมดึง 3 กรรมการอิสระเข้าสู่คณะกรรมการบริหาร โดยมีเป้าหมายชัดเจนในการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็น ‘สถาบันการเงินที่ยึดอีเธอเรียมเป็นศูนย์กลาง’
เมื่อวันที่ 5 (เวลาท้องถิ่น) บิตมายนประกาศว่า จอห์น เบตส์ ได้ลงจากตำแหน่ง CEO และให้ ชี จาง(Chi Tsang) เข้ารับตำแหน่งแทนทันที ท่ามกลางกระแสความสนใจที่เพิ่มสูงขึ้นหลังจากบริษัทถือครองอีเธอเรียมมากกว่า 3.5 ล้านหน่วย มูลค่าตามราคาตลาดมากกว่า 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.43 ล้านล้านบาท) ซึ่งนับว่าเป็นสัดส่วนการถือครองที่สูงที่สุดในหมู่บริษัทจำกัดมหาชน ถือเป็นความเคลื่อนไหวที่แตกต่างอย่างชัดเจนจากบริษัทอย่าง สเตรทิจี(Strategy) ที่เน้นถือครองบิตคอยน์(BTC) เป็นหลัก
ซีอีโอคนใหม่ ชี จาง แสดงความมั่นใจว่า “ด้วยคลังอีเธอเรียมจำนวนมหาศาล และความเชื่อมั่นที่สั่งสมจากวอลล์สตรีทและระบบนิเวศของอีเธอเรียม บิตมายนพร้อมแล้วที่จะก้าวสู่การเป็นสถาบันการเงินแนวหน้า” ขณะเดียวกันบริษัทได้แต่งตั้งกรรมการอิสระ 3 คน เข้าร่วมคณะกรรมการบริหารเพื่อเสริมสร้างความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือจากภายนอก
บิตมายนเริ่มต้นจากธุรกิจเหมืองคริปโต แต่ภายหลังได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจโดยโฟกัสที่อีเธอเรียมเป็นสินทรัพย์หลัก ปัจจุบัน ทอม ลี(Tom Lee) นักวิเคราะห์คริปโตชื่อดัง ทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการบริษัท
ล่าสุด เมื่อวันที่ 7 บริษัทจัดการกองทุนสัญชาติสหรัฐ อาร์คอินเวสต์(ARK Invest) ซึ่งก่อตั้งโดย แคธี วูด(Cathie Wood) ได้เข้าซื้อหุ้นของบิตมายนมูลค่าประมาณ 2 ล้านดอลลาร์ (ราว 27 ล้านบาท) เพื่อเพิ่มการเปิดรับอีเธอเรียมภายใน ETF ของตน
อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นบิตมายนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กยังคงอ่อนตัว โดยในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา หุ้นปรับตัวลดลงประมาณ 35% ปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ 34.43 ดอลลาร์
ในขณะเดียวกัน ท่ามกลางเทรนด์การนำคริปโตมาเป็นกลยุทธ์ทางการเงินของบริษัทมหาชนก็เริ่มชัดเจนขึ้น บริษัทต่างๆ ดำเนินแนวทางที่แตกต่างกัน เช่น บิตมายนถืออีเธอเรียม, สเตรทิจีถือบิตคอยน์ ขณะที่ ฟอร์เวิร์ด อินดัสทรีส์ถือโซลานา(SOL) ถึง 6.82 ล้านเหรียญ ส่วน ลีฟ เทอราพิวติกส์ (ที่เปลี่ยนชื่อเป็น ไซเฟอร์พังก์เทคโนโลยี) ก็ได้ทุ่มลงทุนในเหรียญเน้นความเป็นส่วนตัวอย่างซิเคช(ZEC) มูลค่า 50 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 675 ล้านบาท)
*ความคิดเห็น*: การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า คริปโตเคอร์เรนซีไม่ได้เป็นเพียงสินทรัพย์เก็งกำไร แต่ได้กลายเป็น ‘สินทรัพย์ทางการเงินหลัก’ ของบริษัทในตลาดทุนสหรัฐฯ อย่างรวดเร็ว
ความคิดเห็น 0