รัฐบาลบราซิลกำลังพิจารณามาตรการเก็บภาษีจากการใช้สกุลเงินดิจิทัลสำหรับการชำระเงินระหว่างประเทศ ซึ่งถือเป็นความเคลื่อนไหวเพื่อสนับสนุนกรอบความร่วมมือระดับโลกในการแบ่งปันข้อมูลทางภาษีเกี่ยวกับทรัพย์สินดิจิทัล โดยมีแนวโน้มว่าแนวทางนี้จะได้รับการตรากฎหมายในเร็วๆ นี้
เมื่อวันที่ 18 ตามรายงานของ Reuters รัฐบาลบราซิลกำลังหารือเกี่ยวกับแผนการขยายขอบเขตของ ‘ภาษีธุรกรรมทางการเงิน’ (IOF) ให้ครอบคลุมถึงการโอนเงินข้ามประเทศที่อิงกับสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งปัจจุบันภาษี IOF ถูกเรียกเก็บเฉพาะในกรณีของการแลกเปลี่ยนเงินตราและธุรกรรมสินเชื่อ โดยไม่รวมถึงการทำธุรกรรมด้วยสกุลเงินดิจิทัล อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการใช้คริปโตเคอร์เรนซีเพิ่มขึ้นในฐานะเครื่องมือในการชำระเงินข้ามแดน ความเคลื่อนไหวนี้จึงถูกมองว่าเป็นหนึ่งในมาตรการเพื่อป้องกันการเลี่ยงภาษี
แนวทางใหม่นี้ยังสอดคล้องกับการที่บราซิลเริ่มดำเนินการตามกรอบการแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่าง ‘โครงสร้างรายงานคริปโต’ (Crypto-Asset Reporting Framework: CARF) ซึ่งเป็นระบบที่นำโดยองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) โดยเมื่อวันที่ 14 ที่ผ่านมา กรมสรรพากรแห่งชาติของบราซิลได้ประกาศปรับปรุงกฎการรายงานธุรกรรมคริปโต เพื่อเตรียมนำระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลอัตโนมัติสำหรับบัญชีคริปโตในต่างประเทศมาใช้ตามเกณฑ์ของ CARF
การดำเนินการตามระบบ CARF จะช่วยให้บราซิลสามารถแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับทรัพย์สินคริปโตและการทำธุรกรรมของพลเมืองตนกับประเทศอื่นๆ ขณะเดียวกันก็สามารถเข้าถึงข้อมูลของชาวต่างชาติที่ซื้อขายคริปโตภายในประเทศบราซิลได้ด้วย
บราซิลได้ลงนามในข้อตกลงเข้าร่วมระบบ CARF ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา โดยขณะนี้ทำเนียบขาวและกรมสรรพากรของสหรัฐ (IRS) ก็อยู่ระหว่างการพิจารณาข้อเสนอที่เกี่ยวข้อง ส่วนสภารัฐมนตรีเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป(EU) ก็กำลังผลักดันนโยบายในแนวทางเดียวกัน ขณะที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์(UAE) ได้ร่วมลงนามข้อตกลงเข้าร่วม CARF ไปแล้วเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา
‘การขยายการเก็บภาษีคริปโตของบราซิล’ สะท้อนความพยายามในการร่วมมือระดับโลกเพื่อป้องกันการฟอกเงินและหลีกเลี่ยงภาษี โดยเฉพาะกรณีที่ประชาชนใช้สกุลเงินดิจิทัลกับการชำระเงินในต่างประเทศเพื่อเลี่ยงระบบควบคุมภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม ขอบเขตและรายละเอียดของมาตรการภาษีใหม่นี้ อาจมีผลกระทบต่อตลาดการโอนเงินข้ามประเทศที่ใช้คริปโตเคอร์เรนซี ดังนั้นความคืบหน้าในเรื่องนี้ยังขึ้นอยู่กับสถานการณ์และการปรับจูนของภาครัฐกับกลไกตลาดต่อไป
ความคิดเห็น 0