หลังจากเหตุการณ์แฮ็ก ไบบิต(Bybit) กลุ่มแฮ็กเกอร์ ลาซารัส กลับมาใช้กลยุทธ์ฟอกเงินอีกครั้ง ตามการวิเคราะห์ของสองบริษัทด้านบล็อกเชน ได้แก่ นานเซน(Nansen) และ เชนอะลิซิส(Chainalysis) พบว่ากลุ่มลาซารัสสร้างเส้นทางธุรกรรมที่ซับซ้อน พร้อมทั้งปล่อยให้บางกระเป๋าเงินอยู่ในสถานะไม่เคลื่อนไหวเป็นเวลานานเพื่อลดความน่าสงสัย
ตามข้อมูลของ นานเซน กลุ่มลาซารัสเริ่มต้นด้วยการแปลงสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีสภาพคล่องต่ำให้เป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง เช่น อีเธอเรียม(ETH) โดยในเหตุการณ์นี้ แฮ็กเกอร์ได้แปลงโทเคนที่ถูกขโมย คิดเป็นมูลค่าประมาณ 200 ล้านดอลลาร์(ราว 2.88 แสนล้านวอน) เป็นอีเธอเรียม จากนั้นโทเคนเหล่านี้ถูกส่งผ่านกระเป๋าเงินหลายใบเพื่อปกปิดแหล่งที่มา
ด้าน เชนอะลิซิส ระบุว่า แฮ็กเกอร์ใช้แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนแบบกระจายศูนย์ (DEX), บริดจ์ข้ามบล็อกเชน และบริการแลกเปลี่ยนที่ไม่ต้องมีการยืนยันตัวตน(KYC) เพื่อฟอกเงิน นอกจากนี้ยังมีกลยุทธ์การแปลงสินทรัพย์เป็นคอยน์ที่มั่นคง เช่น บิตคอยน์(BTC) และ ได(DAI) พร้อมกับกระจายธุรกรรมออกไปเป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อลดโอกาสในการถูกติดตาม เริ่มจากหนึ่งกระเป๋าสู่ 42 กระเป๋า และค่อยๆ ขยายไปสู่หลายพันกระเป๋าเพื่อลบร่องรอย
รายงานของ เชนอะลิซิส ระบุว่า จำนวนเงินที่ได้รับการยืนยันว่าถูกฟอกมีเพียงบางส่วนจากจำนวนเงินที่ถูกขโมยทั้งหมดราว 1.5 พันล้านดอลลาร์(ประมาณ 2.16 ล้านล้านวอน) โดยกลุ่มลาซารัสมักไม่ย้ายเงินทั้งหมดในทันที แต่ใช้กลยุทธ์เก็บเงินบางส่วนไว้ในกระเป๋าเงินที่ไม่เคลื่อนไหวเพื่อลดความน่าสงสัย ข้อมูลล่าสุดชี้ว่า มูลค่าราว 900 ล้านดอลลาร์ (ราว 1.3 ล้านล้านวอน) ยังคงไม่มีการเคลื่อนไหว
การแฮ็ก ไบบิต ครั้งนี้ถือเป็นเหตุการณ์โจมตีขนาดใหญ่ที่สุดของ ลาซารัส ในปี 2024 โดยมีมูลค่าความเสียหายมากกว่า 1.3 พันล้านดอลลาร์(ราว 1.87 ล้านล้านวอน) จากการโจมตี 47 ครั้งก่อนหน้านี้ ความเสียหายที่เกิดขึ้นกลายเป็นแรงผลักดันให้ชุมชนคริปโตให้ความสำคัญกับความปลอดภัยมากขึ้น ในขณะที่บริษัทวิเคราะห์บล็อกเชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังพัฒนาเทคโนโลยีติดตามธุรกรรมให้มีความแม่นยำมากขึ้น
ความคิดเห็น 0