Back to top
  • 공유 แชร์
  • 인쇄 พิมพ์
  • 글자크기 ขนาดตัวอักษร
ลิงก์ถูกคัดลอกแล้ว

บาลานเซอร์(Balancer) เสนอแผนชดเชยผู้เสียหายจากเหตุแฮก 116 ล้านดอลลาร์โดยไม่ใช้ทุนส่วนกลาง

บาลานเซอร์(Balancer) เสนอแผนชดเชยผู้เสียหายจากเหตุแฮก 116 ล้านดอลลาร์โดยไม่ใช้ทุนส่วนกลาง / Tokenpost

โปรโตคอลไฟแนนซ์แบบกระจายศูนย์(DeFi) อย่าง *บาลานเซอร์(Balancer)* ซึ่งพัฒนาบนเครือข่ายอีเธอเรียม(ETH) ได้เสนอแผนการจัดสรรสินทรัพย์บางส่วนที่สามารถกู้คืนได้หลังเหตุการณ์ถูกแฮกมูลค่ากว่า 116 ล้านดอลลาร์ (ราว 1,697.28 ล้านบาท) เพื่อชดเชยให้แก่ผู้สูญเสีย โดยข้อเสนอนี้เน้นการจ่ายชดเชยให้ผู้ใช้แบบ ‘ไม่ใช้ทุนส่วนกลาง’ เพื่อสร้างการกระจายทรัพยากรที่ยุติธรรมมากขึ้น พร้อมสะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการเพิ่มความปลอดภัยในระบบสินทรัพย์ดิจิทัลที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ

เหตุการณ์แฮกครั้งใหญ่ซึ่งเกิดขึ้นกับบาลานเซอร์ ทำให้สินทรัพย์รวมมูลค่า 116 ล้านดอลลาร์ถูกขโมยออกไป โดยในจำนวนนี้สามารถกู้คืนมาได้ราว 28 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 409.64 ล้านบาท) ผ่านกลุ่มแฮกเกอร์ประเภทไวท์แฮต, ทีมโครงสร้างภายใน และแพลตฟอร์มสเตกกิ้งอีเธอเรียม *สเตกไวส์(StakeWise)* อย่างไรก็ตาม แผนการชดเชยของชุมชนในครั้งนี้จะครอบคลุมเพียงทรัพย์สินที่ไวท์แฮตและทีมโครงสร้างภายในช่วยกู้คืนประมาณ 8 ล้านดอลลาร์เท่านั้น โดยสินทรัพย์ที่สเตกไวส์กู้คืนมูลค่า 20 ล้านดอลลาร์ จะถูกแจกจ่ายแยกต่างหากให้ผู้ใช้ของแพลตฟอร์มดังกล่าว

แนวคิดในการชดเชยขึ้นอยู่กับหลัก ‘ไม่ใช้ทุนส่วนกลาง’ ซึ่งหมายความว่า ผู้ใช้งานแต่ละรายที่ขาดทุนจากพูลสภาพคล่อง(Balancer Pool) จะได้รับการชดเชยตามสัดส่วนโทเคน BPT (Balancer Pool Token) ที่ตนถือครองอยู่ ขณะเดียวกัน ผู้ใช้งานจะได้รับค่าชดเชยเป็นสินทรัพย์ประเภทเดียวกับที่เสียหาย เพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อนด้านราคาจากความแตกต่างระหว่างเหรียญ

ทางด้านเดดี ลาวิด(Deddy Lavid) ซีอีโอของบริษัทความปลอดภัยทางไซเบอร์ *ไซเวอร์ส(Cyvers)* ให้ความเห็นว่า เหตุการณ์แฮกบาลานเซอร์ครั้งนี้ถือเป็น “หนึ่งในการโจมตีที่ซับซ้อนที่สุดในปี 2025” และเตือนถึงความจำเป็นในการเสริมสร้างระบบป้องกันผู้ใช้งานให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นเพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว

ขณะเดียวกัน *อัพบิต(Upbit)* ซึ่งเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลรายใหญ่ของเกาหลีใต้ ก็เพิ่งตรวจพบการโจรกรรมสินทรัพย์กว่า 36 ล้านดอลลาร์ (ราว 526.68 ล้านบาท) จากกระเป๋าเงินฮอตวอลเลตบนเครือข่ายโซลานา(SOL) เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นไม่นานหลังบริษัทแม่ *ดูนามู* ประกาศดีลเข้าซื้อกิจการจาก *เน이버* มูลค่ากว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ ยิ่งเพิ่มความกังวลเรื่องความสามารถในการจัดการด้านความปลอดภัยของบริษัท

อัพบิตเปิดเผยว่า ตรวจพบพฤติกรรมผิดปกติเมื่อเวลา 04:42 น. โดยระบุว่า ‘สินทรัพย์ที่เหลือ’ ได้ถูกย้ายไปยัง *คอลด์วอลเลต(Cold Wallet)* ทันที ขณะเดียวกันได้ใช้มาตรการระงับธุรกรรมทั้งแบบออฟเชนและออนเชนไปพร้อมกัน ซึ่งแม้เหตุการณ์จะมีผลต่อสินทรัพย์บนโซลานาเป็นหลัก แต่จะมีการระงับธุรกรรมทั้งหมดชั่วคราวจนกว่าการตรวจสอบความปลอดภัยจะเสร็จสิ้น

การแฮกครั้งนี้ ทำให้นึกถึงเหตุการณ์ในปี 2019 เมื่อกลุ่มแฮกเกอร์จากเกาหลีเหนือ *ลาซารัส(Lazarus)* ขโมยเงินราว 50 ล้านดอลลาร์ ซึ่งยิ่งตอกย้ำถึงความเสี่ยงที่มาจากการใช้ฮอตวอลเลตในระดับอุตสาหกรรม

ในอีกด้านหนึ่ง *ทอม ลี(Tom Lee)* ประธานบริษัทวิจัยคริปโต *บิตมายน์(BitMine)* ผู้ที่มักแสดงความมั่นใจในบิตคอยน์(BTC) ได้ถอยห่างจากการทำนายราคาบิตคอยน์ช่วงสิ้นปี โดยจากเดิมที่เขาคาดว่าสามารถแตะระดับ 250,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 3.6575 ล้านบาท) ตอนนี้เขาปรับลดเป้าหมาย โดยบอกว่าราคา 100,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1.463 ล้านบาท) ยังเป็นไปได้ แต่การทำสถิติสูงสุดใหม่อาจต้องใช้เวลามากกว่าที่คาด

เขาเคยแสดงความมั่นใจเมื่อราคาบิตคอยน์แนวโน้มพุ่งแตะระดับ 100,000 ดอลลาร์ แต่ด้วยปัจจัยภายนอกอย่างการเพิ่มความเข้มงวดของหน่วยงานกำกับดูแล และความกังวลด้านความปลอดภัยของแพลตฟอร์ม ได้มีผลต่อมุมมองในปัจจุบันอย่างมีนัยสำคัญ

<ลิขสิทธิ์ ⓒ TokenPost ห้ามเผยแพร่หรือแจกจ่ายซ้ำโดยไม่ได้รับอนุญาต>

บทความที่มีคนดูมากที่สุด

ความคิดเห็น 0

ข้อแนะนำสำหรับความคิดเห็น

ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ ต้องการบทความติดตามเพิ่มเติม เป็นการวิเคราะห์ที่ยอดเยี่ยม

0/1000

ข้อแนะนำสำหรับความคิดเห็น

ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ ต้องการบทความติดตามเพิ่มเติม เป็นการวิเคราะห์ที่ยอดเยี่ยม
1