บริษัทสแตรทิจี(Strategy) ภายใต้การนำของไมเคิล เซย์เลอร์(Michael Saylor) ได้จัดตั้งเงินสำรองสกุลดอลลาร์มูลค่า 1.44 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 71,113 ล้านบาท) เพื่อตอบสนองต่อความสามารถในการจ่ายเงินปันผลและจ่ายดอกเบี้ยพันธบัตร โดยบริษัทเร่งวางรากฐานทางการเงินที่มั่นคงเพิ่มเติม นอกเหนือจากการถือครองบิตคอยน์(BTC) ในปริมาณมาก
เมื่อวันที่ 13 ตามเวลาท้องถิ่น สแตรทิจีได้ยื่นเอกสารต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ (SEC) โดยระบุว่า เงินสำรองนี้ได้มาจากการขายหุ้นสามัญคลาส A ที่ออกใหม่ในรูปแบบ ATM (At-the-Market Offering) บริษัทได้เผยเป้าหมายในการรักษาระดับเงินสำรองที่สามารถรองรับการจ่ายเงินปันผลอย่างน้อย 12 เดือน และหวังขยายระยะเวลานั้นเป็น 24 เดือนในระยะยาว
ในการประกาศครั้งเดียวกัน สแตรทิจีได้เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ได้ซื้อบิตคอยน์อีก 130 เหรียญ คิดเป็นมูลค่า 11.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 417 ล้านบาท) ส่งผลให้การถือครองทั้งหมดพุ่งแตะ 650,000 BTC โดยมีต้นทุนเฉลี่ยสะสมรวมราว 48.38 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.41 ล้านล้านบาท) ซึ่งถือเป็น ‘สถิติที่เป็นสัญลักษณ์’ ในประวัติศาสตร์ของบริษัท
บริษัทกล่าวว่า เงินสำรองดังกล่าวมิได้ครอบคลุมเฉพาะการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการให้ความคุ้มครองแก่นักลงทุนถือหุ้นสามัญ และการชำระดอกเบี้ยพันธบัตรที่ออกโดยบริษัท ทั้งนี้ เงินสำรองที่จัดตั้งขึ้นมีมูลค่าคิดเป็นประมาณ 2.2% ของมูลค่ากิจการ, 2.8% ของส่วนทุน และ 2.4% ของมูลค่าบิตคอยน์ที่ถือไว้
‘ความคิดเห็น’จากตลาดชี้ว่า สแตรทิจีกำลังสร้างสมดุลระหว่างความเชื่อมั่นระยะยาวในบิตคอยน์ และการยึดหลักมาตรฐานทางการเงินแบบดั้งเดิม อาทิ การจ่ายเงินปันผลเพื่อดึงดูดนักลงทุนสถาบันในอนาคต กลยุทธ์แบบสองทางนี้ทำให้บริษัทค่อยๆ กลายร่างจาก ‘บริษัทสะสมบิตคอยน์’ ไปสู่โครงสร้างแบบ ‘ลูกผสม’ ที่ผสานความมั่นคงของเงินสดและนวัตกรรมทางการเงินผ่านสินทรัพย์ดิจิทัล
การมี ‘สินทรัพย์คู่’ ทั้งเงินสดและคริปโต เช่นนี้ อาจกลายเป็นรูปแบบใหม่ที่บริษัทในอุตสาหกรรมคริปโตเฝ้าจับตาเพื่อปรับใช้ในโมเดลธุรกิจของตนในอนาคต
ความคิดเห็น 0