รายงานจากไทเกอร์รีเสิร์ช(Tiger Research) เปิดเผยว่าท่ามกลางการลดลงของราคาบิตคอยน์(BTC) และต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจขุดเหรียญจำนวนมากกำลังเผชิญกับแรงกดดันเรื่อง ‘ความคุ้มทุน’ ที่ลดลง ส่งผลให้บริษัทขุดเหรียญหลายแห่งเร่งเปลี่ยนโมเดลธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีทรัพยากร GPU ประสิทธิภาพสูงและโครงสร้างพื้นฐานสำหรับไฟฟ้าอยู่แล้ว ได้หันมาเปิด ‘ศูนย์เช่าเซิร์ฟเวอร์ AI’ เพื่อตอบรับดีมานด์ที่พุ่งขึ้นในยุคปัญญาประดิษฐ์
รูปแบบรายได้ของผู้ประกอบการเหมืองคริปโตนั้นผูกโยงโดยตรงกับราคาของบิตคอยน์ แต่ในอีกด้านหนึ่ง ค่าใช้จ่ายเชิงโครงสร้างที่สูง เช่น ค่าพลังงาน, ความยากในการขุดที่เพิ่มขึ้น และการเปลี่ยนเครื่องขุดประสิทธิภาพสูงนั้นกลับเป็นต้นทุนคงที่ ซึ่งอาจนำไปสู่การขาดทุนโดยไม่ตั้งใจ รายงานฉบับเดียวกันระบุว่า ขณะนี้ต้นทุนเฉลี่ยที่ใช้ในการขุดบิตคอยน์ 1 หน่วยอยู่ที่ประมาณ 130,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ราคาตลาดปัจจุบันกลับต่ำกว่าจุดคุ้มทุนราว 46,000 ดอลลาร์ หากรวมค่าเสื่อมราคาและค่าตอบแทนพนักงาน ซึ่งแสดงให้เห็นถึง ‘ภาวะขาดทุนทางบัญชี’ ที่ชัดเจน ท่ามกลางแรงกดดันเหล่านี้ ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องประเมินโอกาสในธุรกิจใหม่
ทางออกหนึ่งคือการหันไปสู่ ‘ธุรกิจศูนย์ข้อมูล AI’ ซึ่งตอบสนองความต้องการของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่ต้องการ GPU ประสิทธิภาพสูง เช่น อุปกรณ์จากค่ายเอ็นวีเดียรุ่น H100/H200 ร่วมกับความสามารถในการจัดการพลังงานระดับหลายร้อยเมกะวัตต์ และเทคโนโลยีระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูง รายงานชี้ว่า ยังมีสถานที่ตั้งในรัฐเท็กซัสและพื้นที่อื่น ๆ ที่สามารถแปลงสภาพจากฟาร์มเหมืองไปสู่ ‘ดาต้าเซ็นเตอร์ AI’ ได้ภายใน 6–12 เดือน
หนึ่งในกรณีศึกษาคือ Core Scientific ซึ่งเกือบล้มละลายในปี 2022 แต่ปัจจุบันสามารถพลิกสถานการณ์ด้วยการบริหารศูนย์ข้อมูล AI ขนาด 200 เมกะวัตต์ และมีแผนขยายถึง 500 เมกะวัตต์ในอนาคต นอกจากนี้ IREN และ TeraWulf ก็อยู่ระหว่างการขยายกิจการสู่โครงการพลังงานหมุนเวียนและโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลที่ไม่ผูกกับบิตคอยน์เท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่ใช่เพียงทางรอดชั่วคราว แต่คือการวางรากฐานสู่ ‘รูปแบบธุรกิจที่ยั่งยืน’ ความคิดเห็น: การเปลี่ยนทิศนี้คือการสื่อถึง ‘วิวัฒนาการของอุตสาหกรรม’ ที่แท้จริง
ผู้เชี่ยวชาญมองว่า การแสวงหารายได้ทางเลือกจะช่วยลดแรงกดดันให้บริษัทรีบขายบิตคอยน์ที่ถือครอง และเพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงินมากขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิด ‘ภาวะโอเวอร์ซัพพลาย’ หากเกิดการล้มละลายเหมือนที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกบริษัทที่เดินหน้าเข้าสู่ AI บางราย เช่น บิตมายน(Bitmain) และคาเทดราบิตคอยน์(Cathedra Bitcoin) ได้เลือกเน้นไปที่เทคโนโลยีด้านข้อมูลและการวิเคราะห์ (DAT) แทน ซึ่งเป็นอีกกลยุทธ์เพื่อความอยู่รอดในอุตสาหกรรมนี้
กล่าวโดยสรุป การเปลี่ยนผ่านจากธุรกิจขุดเหรียญสู่อุตสาหกรรมข้อมูลและ AI ไม่เพียงเป็นกลยุทธ์เพื่อเอาตัวรอด แต่ยังเป็น ‘สิ่งบ่งชี้ถึงการปรับสมดุลในอุตสาหกรรมบล็อกเชน’ ที่มุ่งไปสู่ความมั่นคงและความยั่งยืนในระยะยาว ไทเกอร์รีเสิร์ชชี้ว่า การเปลี่ยนแปลงนี้คือสัญญาณ ‘การฟื้นตัวที่แท้จริง’ ซึ่งบริษัทที่มีความแข็งแกร่งจะเป็นผู้นำกลุ่มใหม่ ขับเคลื่อนอนาคตของระบบนิเวศบิตคอยน์ผ่านโมเดลธุรกิจที่ตอบรับกับโลกยุคใหม่
ความคิดเห็น 0