สหรัฐเร่งรวมคริปโตเข้าระบบการเงิน จับตานโยบายใหม่หลัง “ทรัมป์” คว้าชัยเลือกตั้ง
เมื่อวันที่ 24 (เวลาท้องถิ่น) ตามรายงานของ Tiger Research สหรัฐกำลังเดินหน้าอย่างจริงจังในการปรับโครงสร้าง ‘ระบบนิเวศคริปโต’ ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบการเงินแบบดั้งเดิม โดยในรายงานล่าสุดระบุว่า การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายที่เกิดขึ้นภายในปีเดียวหลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ชนะเลือกตั้งรอบล่าสุด กำลังผลักดันให้เกิดการผสานระหว่างอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลกับภาคการเงินกระแสหลักอย่างรวดเร็ว
แนวทางใหม่นี้ไม่ได้มุ่งเน้นการควบคุมแยก หรือการผลักอุตสาหกรรมออกจากระบบเดิม หากแต่เลือกใช้วิธี *หลอมรวมผ่านโครงสร้างพื้นฐานปัจจุบัน* โดยรัฐบาลทรัมป์ได้เริ่มกำหนดจุดยืนของหน่วยงานกำกับหลักชื่อดังอย่างสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC), คณะกรรมการกำกับซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้า (CFTC) และสำนักงานควบคุมสกุลเงิน (OCC) ใหม่ พร้อมผลักดันกฎหมายที่สอดคล้องกับการเปิดทางให้ตลาดคริปโตถูกกฎหมายอย่างเป็นระบบ
ตามรายงานของ Tiger Research ทาง SEC ได้ลดความเข้มงวดด้านนโยบายจากที่เคยเน้นยื่นฟ้องอย่างเข้มข้นในสมัยของ แกรี เกนส์เลอร์(Gary Gensler) มาเป็นแนวทางที่เน้น *ความครอบคลุม* และการวางรากฐานที่ชัดเจนมากขึ้น หนึ่งในความเคลื่อนไหวสำคัญคือ ‘โปรเจกต์คริปโต’ ที่ตั้งเป้าวางมาตรฐานการจำแนกโทเคนในแง่กฎหมายอย่างชัดเจน
ขณะเดียวกัน CFTC ได้ยกระดับการยอมรับบิตคอยน์(BTC), อีเธอเรียม(ETH) และเหรียญ USDคอยน์(USDC) ว่าเป็น ‘สินค้า’ อย่างเป็นทางการ พร้อมเปิดตัว ‘โครงการนำร่องสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อใช้เป็นหลักประกัน’ ซึ่งเปิดทางให้เหรียญเหล่านี้สามารถใช้ในตลาดตราสารอนุพันธ์ได้อย่างถูกกฎหมาย กลายเป็นหลักประกันที่ได้รับความเชื่อมั่นในระดับเดียวกับหลักทรัพย์ดั้งเดิม
ด้านสำนักงานควบคุมสกุลเงิน(OCC) ได้ดำเนินยุทธศาสตร์ดึงบริษัทคริปโตให้เข้าใกล้ระบบการเงินกลางมากยิ่งขึ้น โดยอนุมัติให้บริษัทสินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง ริปเปิล(XRP) และ เซอร์เคิล(Circle) ได้สถานะธนาคารทรัสต์แห่งชาติแบบมีเงื่อนไข ส่งผลให้สามารถให้บริการในระดับประเทศภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลกลาง ลดช่องว่างกำกับระหว่างธนาคารดั้งเดิมและธุรกิจคริปโตอย่างเห็นได้ชัด
ในด้านกฎหมาย ยังมีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ชัดเจน เมื่อร่างกฎหมายเกี่ยวกับสเตเบิลคอยน์ที่เคยค้างเติ่งตั้งแต่ปี 2022 ได้ผ่านการรับรองในปี 2025 ภายใต้ชื่อ GENIUS Act โดยกำหนด *หลักเกณฑ์เข้มข้น* เช่น ต้องถือครองทุนสำรองเต็มจำนวน 100%, ห้ามนำสินทรัพย์ไปรีไฟแนนซ์ และต้องอยู่ภายใต้กำกับของหน่วยงานกลาง ถูกประเมินว่าเป็นการสร้างรากฐานด้าน ‘เสถียรภาพ’ และ ‘ความโปร่งใส’ อย่างสมบูรณ์ ส่งผลให้สเตเบิลคอยน์มีสถานะเทียบเท่า *ดิจิทัลดอลลาร์*
อย่างไรก็ตาม Tiger Research เตือนว่า การพัฒนาด้านกฎระเบียบไม่ได้ดำเนินไปในทิศทางเดียวกันอย่างไร้รอยต่อ ภายในสหรัฐยังคงมีความเห็นต่างและแรงกดดันข้ามหน่วยงาน หนึ่งในกรณีที่เห็นได้ชัดคือความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายกับ SEC เกี่ยวกับบริการมิกซ์กิ้งเพื่อความเป็นส่วนตัวเช่น Tornado Cash ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้างเรื่องการปกป้องผู้ใช้กับการเอื้อต่ออาชญากรรมทางการเงิน
Tiger Research มองว่า แม้ความขัดแย้งเหล่านี้อาจถูกมองว่าเป็น ‘แรงต้าน’ ในระยะสั้น แต่ในระยะยาวกลับส่งผลให้สหรัฐสามารถพัฒนากฎระเบียบที่ *ลึกซึ้งและแม่นยำขึ้น* โดยรัฐบาลทรัมป์เลือกใช้ความหลากหลายของแนวนโยบายเหล่านี้เป็น ‘เครื่องมือกระตุ้น’ ให้เกิดการปฏิรูปในระดับโครงสร้าง โดยไม่จำเป็นต้องบรรลุฉันทามติจากทุกหน่วยงานในทันที
ในที่สุด สหรัฐเลือกที่จะไม่เปิดเสรีขนาดใหญ่หรือปิดกั้นตลาดคริปโตอย่างสิ้นเชิง แต่ใช้แนวทาง ‘ดูดซับอย่างเป็นระบบ’ ควบคู่กับ ‘การปรับกลไกตลาดให้เป็นปกติ’ ถือเป็นยุทธศาสตร์ที่ทำให้สหรัฐมีบทบาทนำในเวทีออกแบบกฎเก็บภาษีและกำกับดูแลระดับโลก Tiger Research สรุปว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วง 1 ปีที่ผ่านมานั้นไม่ใช่แค่การเปลี่ยนนโยบาย แต่เป็นการเริ่มต้น *ลงมือปฏิบัติจริง* ของการควบรวมอุตสาหกรรมคริปโตเข้าสู่โลกการเงินของสหรัฐอย่างมีแบบแผน
ความคิดเห็น 0