แม้ความเสี่ยงจะยังไม่เกิดขึ้นจริง แต่ ‘ภัยจากคอมพิวเตอร์ควอนตัม’ กำลังกลายเป็นความท้าทายใหม่ของระบบนิเวศบิตคอยน์(BTC) โดยผู้สนับสนุนบิตคอยน์และผู้จัดการกองทุนคริปโตบางส่วนระบุว่า หากต้องการรักษาความน่าเชื่อถือและความยั่งยืนในระยะยาว จำเป็นต้องเร่งนำ ‘เทคโนโลยีลายเซ็นต้านควอนตัม’ มาใช้โดยเร็ว
หนึ่งในแนวทางที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคือร่างข้อเสนอปรับปรุงเครือข่ายที่เรียกว่า ‘BIP-360’ ซึ่งเสนอให้เพิ่มทางเลือกการใช้ลายเซ็นแบบ ‘โพสต์ควอนตัม (Post-Quantum)’ เข้ากับที่อยู่บิตคอยน์ เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากคอมพิวเตอร์ควอนตัมในอนาคต เทคโนโลยีนี้ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้สมมติฐานว่า คอมพิวเตอร์ควอนตัมจะสามารถเจาะระบบเข้ารหัสที่ใช้อยู่ในปัจจุบันได้ในวันหนึ่ง
แม้จะยังไม่เห็นพ้องกันเรื่องระยะเวลาที่ควรเริ่มใช้ลายเซ็นใหม่ แต่ชาร์ลส์ เอ็ดเวิร์ดส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ดิจิทัลคาเฟรียล(Capriole) ระบุว่า โซลูชั่นดังกล่าวควรถูกนำมาใช้ภายในปี 2026 โดยเตือนว่า “บิตคอยน์มากถึง 20–30% อาจถูกแฮกเกอร์ควอนตัมขโมยภายในไม่กี่ปีข้างหน้า” พร้อมเสนอว่า หากยังไม่เปลี่ยนผ่านไปสู่ BIP-360 ภายในปี 2028 ควร ‘เผาเหรียญทิ้ง’ ทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในลักษณะนี้ไม่ใช่เพียงแค่ผ่านการอนุมัติจากชุมชน แต่ยังต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในเครือข่าย เช่น ผู้ผลิตกระเป๋าฮาร์ดแวร์, ผู้ให้บริการโนด และบริษัทเทรดคริปโต ซึ่งหมายความว่า การนำ BIP-360 มาใช้ในวงกว้างในระยะเวลาอันสั้นอาจเป็นเรื่องยาก
โดยทั่วไป ชุมชนบิตคอยน์มีแนวโน้ม ‘ระมัดระวังอย่างสูง’ ในการยอมรับเทคโนโลยีใหม่ ทำให้การเปลี่ยนแปลงด้านการเข้ารหัสมักใช้เวลานานและต้องผ่านการถกเถียงหลายขั้นตอน แต่ในด้านนักลงทุน ปัญหาด้านความปลอดภัยจากควอนตัมอาจสร้าง ‘ความวิตกจริต’ ทางจิตวิทยาที่กระทบต่อราคาตลาดได้มากกว่าความเสี่ยงที่เป็นจริง
‘ควอนตัมคอมพิวเตอร์’ อาจยังต้องใช้เวลาในการพัฒนาให้พร้อมใช้งานจริง แต่ประเด็น ‘ความมั่นคงของระบบ’ และแผนรับมือ ‘ภัยคุกคามล่วงหน้า’ ได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนสถาบันและผู้ดูแลบัญชีขนาดใหญ่ใช้ประเมินคุณภาพของเครือข่ายคริปโต โครงการ, กระดานเทรด หรือสินทรัพย์ที่มีแผนรองรับความเสี่ยงดังกล่าว อาจได้รับความเชื่อมั่นจากตลาดมากขึ้นในอนาคต
ความคิดเห็น 0