กระแสความต้องการพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งและโอกาสน้อยลงที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ส่งสัญญาณว่านักลงทุนกำลังเคลื่อนย้ายสินทรัพย์ไปสู่ทางเลือกที่ปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ความสนใจใน *บิตคอยน์(BTC)* ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังถูกรบกวนจากสัญญาณเศรษฐกิจที่อ่อนแอในญี่ปุ่น และข้อมูลแรงงานของสหรัฐฯ ที่อ่อนตัวลง ยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อราคา *บิตคอยน์* ในช่วงนี้
ตลอดเดือนที่ผ่านมา *บิตคอยน์* ยังคงไม่สามารถยืนเหนือระดับ 92,000 ดอลลาร์ได้อย่างมั่นคง หลายฝ่ายพยายามให้เหตุผลถึงแนวโน้มขาลงที่เกิดขึ้น บางรายชี้ว่าอาจเกิดจาก ‘การปั่นราคา’ ขณะที่อีกกลุ่มตั้งข้อสังเกตว่า ความกังวลต่อฟองสบู่ของภาคปัญญาประดิษฐ์ (AI) อาจส่งผลกดดันตลาด แม้จะไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนก็ตาม ด้านดัชนี S&P 500 เมื่อวันศุกร์ยังอยู่เพียง 1.3% ต่ำกว่าจุดสูงสุดตลอดกาล แต่ *บิตคอยน์* ยังคงอยู่ต่ำกว่าจุดสูงสุดในเดือนตุลาคมราว 30% บ่งชี้ถึงสภาวะ ‘หลีกเลี่ยงความเสี่ยง’ ของนักลงทุนอย่างชัดเจน ซึ่งสวนทางกับแนวคิดที่เชื่อว่า ความกลัวฟองสบู่ AI จะบั่นทอนตลาดทั้งหมด
แม้ *บิตคอยน์* จะมีจุดขายที่ความ ‘ไร้ศูนย์กลาง’ และศักยภาพระยะยาว แต่ในภาวะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ทองคำกลับกลายเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่ได้รับความนิยมมากกว่า
อีกปัจจัยสำคัญที่ฉุดไม่ให้ *บิตคอยน์* ทะลุระดับ 90,000 ดอลลาร์ คือการที่ Fed ยังคงดำเนินนโยบายไล่ลดขนาดงบดุลต่อเนื่องไปถึงปี 2025 เพื่อดูดซับสภาพคล่องจากตลาด แต่อย่างไรก็ตาม ทิศทางนี้เริ่มกลับตัวในเดือนธันวาคมเมื่อข้อมูลตลาดแรงงานเริ่มแสดงสัญญาณอ่อนแอ และตัวเลขการบริโภคที่ลดลงกระตุ้นความกังวลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ
เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม Target ปรับลดคาดการณ์กำไรไตรมาส 4 ขณะที่ Macy’s ระบุเมื่อวันที่ 10 ธันวาคมว่า เงินเฟ้อจะบั่นทอน ‘อัตรากำไร’ ในช่วงปลายปี ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม Nike รายงานยอดขายรายไตรมาสที่ปรับตัวลดลง ทำให้ราคาหุ้นร่วงลงถึง 10% ในวันศุกร์ "ความคิดเห็น: การใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ลดลงมักส่งผลลบต่อสินทรัพย์เสี่ยง รวมถึงคริปโต"
แม้บางสัญญาณจะแสดงถึงแนวโน้มการผ่อนคลายนโยบายการเงินของ Fed แต่ตลาดกลับเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน โดยเฉพาะความสงสัยว่า Fed จะสามารถลดดอกเบี้ยลงต่ำกว่า 3.5% ได้หรือไม่ภายในปี 2026 ความไม่ชัดเจนนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากเหตุการณ์ระงับงบประมาณรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นเวลา 43 วัน ซึ่งขวางการเผยแพร่ข้อมูลแรงงานและเงินเฟ้อช่วงเดือนพฤศจิกายน ยิ่งเพิ่มความไม่แน่นอนในภาพรวม
โอกาสที่ Fed จะลดดอกเบี้ยในการประชุม FOMC วันที่ 28 มกราคม ลดลงจาก 24% เหลือ 22% ตามข้อมูลจาก CME FedWatch Tool ขณะที่ความต้องการพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ยังแข็งแกร่ง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะเวลา 10 ปี ยังคงอยู่ที่ 4.15% เมื่อวันศุกร์ แม้จะเคยแตะต่ำกว่า 4% ไปแล้วในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน แสดงถึงพฤติกรรม *หลีกเลี่ยงความเสี่ยง* ของนักลงทุนที่ยังคงสูง
แม้การเคลื่อนไหวของ *บิตคอยน์* จะเริ่มแยกตัวออกจากตลาดการเงินหลักมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านักลงทุนคริปโตจะไม่รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจอ่อนตัว ความต้องการตราสารหนี้ของญี่ปุ่นที่ลดลงเพิ่มความเสี่ยงต่อการลุกลามของปัญหา เนื่องจากอัตราผลตอบแทนตราสาร 10 ปีของญี่ปุ่นทะยานขึ้นเหนือ 2% เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1999 ขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่น ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสี่ของโลก หดตัวลง 2.3% ในไตรมาส 3 แม้จะใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบมากว่า 10 ปี และปล่อยให้ค่าเงินเยนลดลงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
เมื่อพิจารณาผลงานที่ซบเซาของ *บิตคอยน์* ใกล้ระดับ 90,000 ดอลลาร์ ย่อมสะท้อนถึงความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและแรงส่งจากตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ลดลง ในขณะที่นักลงทุนเผชิญความเสี่ยง การลดดอกเบี้ยหรือการกระตุ้นเศรษฐกิจอาจไม่มีผลบวกต่อสินทรัพย์กลุ่มเสี่ยงดังเช่นในอดีต และแม้อัตราเงินเฟ้ออาจกลับเร่งตัวขึ้น *บิตคอยน์* ก็ยังอาจไม่ใช่ทางเลือกในการป้องกันความเสี่ยงในระยะใกล้นี้
ความคิดเห็น 0