ฮาซีบ คูเรชี จากดรากอนฟลายฟันธง: ปี 2026 ของคริปโตจะเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ฮาซีบ คูเรชี หุ้นส่วนของบริษัทด้านการลงทุนในคริปโต ดรากอนฟลาย เผยการคาดการณ์ตลาดคริปโตประจำปี 2026 โดยมองว่าแม้แนวโน้มภาพรวมตลาดจะดำเนินต่อไปในทิศทางเดิม แต่จะมีเหตุการณ์ที่ทำให้ทั้งนักลงทุนสายขาขึ้นและขาลง “ประหลาดใจแบบสุดขั้ว” พร้อมชี้ชัดว่า บิตคอยน์(BTC), โครงสร้างพื้นฐานบล็อกเชน, การเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi), สเตเบิลคอยน์, การกำกับดูแล, ตลาดคาดการณ์ และปัญญาประดิษฐ์(AI) จะเป็นหัวใจสำคัญแห่งการเปลี่ยนแปลง
บิตคอยน์พุ่งทะลุ 15 หมื่นดอลลาร์? แต่อัลท์คอยน์ยังไม่ใช่ ‘ตลาดกระทิงเต็มรูปแบบ’
คูเรชีคาดว่าบิตคอยน์(BTC) อาจแตะระดับ 150,000 ดอลลาร์ภายในสิ้นปี 2026 แต่ในขณะเดียวกัน เขาเชื่อว่าสัดส่วนความครองตลาดของบิตคอยน์จะลดลง เนื่องจากอัลท์คอยน์บางกลุ่มเริ่มฟื้นตัว แม้จะไม่ถึงขั้น ‘อัลท์กระทิง’ แต่ก็ถือว่าเป็นสัญญาณเชิงบวก อย่างไรก็ตาม เขาเตือนนักลงทุนให้ “ระวังความคาดหวังเกินจริง”
สำหรับเชนแนวฟินเทคที่กำลังมาแรง อาทิ เทมโป, อาร์ค และโรบินฮูดเชน คูเรชีเห็นว่าจะไม่สามารถตอบโจทย์การใช้งานหรือการสร้างมูลค่าได้ตามเป้า ในขณะที่อีเธอเรียม(ETH) และโซลานา(SOL) ยังคงรักษาผลงาน ‘เหนือความคาดหมาย’ ได้อย่างต่อเนื่อง
องค์กรใหญ่บุกตลาดบล็อกเชน อาวาแลนช์และ ZK เทคโนโลยีขึ้นแท่นดาวรุ่ง
คูเรชีชี้ว่า ปี 2026 จะเป็นช่วงเวลาที่บริษัทขนาดใหญ่ โดยเฉพาะธนาคารและฟินเทค จะทยอยเปิดตัวเครือข่ายบล็อกเชนของตนเอง โดยโครงการที่น่าจับตา ได้แก่ อาวาแลนช์(AVAX), ออปติมิซึม(OP), ออร์บิต และเทคโนโลยีแบบ ‘Zero-Knowledge’ หรือ ZK สแต็ก รวมถึงการฟื้นตัวอย่างน่าประหลาดใจของโมนาด ที่เคยถูกตีตราว่าเป็นเทคโนโลยีตกยุคแต่กลับมีแนวโน้มฟื้นตัวแรงในช่วงครึ่งหลังของปี
นอกจากนี้ เขายังระบุว่าโซลานา(SOL) จะมี ‘อัตราการสเตก’ ทะลุ 80% ส่วนเครือข่าย DoubleZero อาจเชื่อมต่อกับเชนอื่นกว่าสามเครือข่ายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
DeFi เตรียมปรับโครงสร้างใหม่ ตลาด Perp DEX เหลือเพียง ‘3 เจ้ายักษ์’
คูเรชีคาดว่าตลาดอนุพันธ์แบบไร้ศูนย์กลาง (Perp DEX) จะเปลี่ยนสู่โครงสร้างลักษณะ ‘3 กลุ่มใหญ่’ คล้ายโมเดลของสื่อบันเทิง HBO โดยแต่ละเจ้าครองมาร์เก็ตราว 40%, 30% และ 20% ตามลำดับ โดยส่วนที่เหลืออีก 10% จะเป็นการแข่งขันของผู้เล่นรายเล็ก ขณะเดียวกัน อนุพันธ์ที่เชื่อมโยงกับตลาดหุ้นก็มีแนวโน้มโตขึ้นจนกินสัดส่วน 20% ของ DeFi ทั้งหมด
เขายังกล่าวถึงระบบ Request for Quote (RFQ) ที่คาดว่าจะเติบโตเร็วกว่า CLOB แบบดั้งเดิมหรือ AMM แต่ก็เตือนว่าโมเดลนี้อาจกระตุ้นข่าวฉาวด้าน “อินไซเดอร์เทรด” จนสื่อกระแสหลักต้องให้ความสนใจ
สเตเบิลคอยน์กำลังเติบโต 60% พร้อมหน้าบัตรจ่ายเงินพุ่ง 10 เท่า
ตลาดสเตเบิลคอยน์จะเติบโตสูงขึ้นราว 60% โดยยังคงเน้นหนักที่ ‘ดอลลาร์สหรัฐ’ กว่า 99% คาดว่า เทเธอร์(USDT) ครองส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ประมาณ 55% อย่างไรก็ตาม เขาเน้นว่า ‘บัตรจ่ายเงินที่อ้างอิงด้วยสเตเบิลคอยน์’ จะเป็นเทคโนโลยีสร้างการเติบโตแบบ ‘พันเปอร์เซ็นต์’ โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ และ Rain อาจกลายเป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่ได้ประโยชน์มากสุด
กฎหมายความชัดเจนกำลังมา แต่ ‘เงาหม่นทางการเมือง’ ยังไม่จาง
คูเรชีมองว่ารัฐสภาสหรัฐอเมริกาอาจผ่านร่าง ‘กฎหมายความชัดเจนทางคริปโต(Clarity Act)’ ในปี 2026 อย่างไรก็ตาม เขาเตือนว่าภายในวงการอาจเกิด ‘อาการเสียใจภายหลัง’ หากกฎหมายใหม่นี้สร้างภาระมากเกินไป โดยเฉพาะหากพรรคเดโมแครตสามารถยึดสภาผู้แทนราษฎรกลับมาได้
ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาระบุว่า ‘อาจมีการเรียกประชุมไต่สวน’ เกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่าง ทรัมป์ กับการทำธุรกรรมคริปโตในอดีต โดยทรัมป์น่าจะออกมาปฏิเสธและกล่าวว่า “ตนไม่รู้อะไรเลยและไม่สามารถใช้อภิสิทธิ์ทางปกครองได้” ซึ่งคูเรชีเตือนว่า บุคคลที่เคยเซ็นสัญญาผิดพลาด อาจกลายเป็นจุดวิจารณ์ต่อสาธารณะ
ตลาดคาดการณ์ครองพื้นที่เด่น Polymarket จ่อขึ้นแท่นเบอร์หนึ่ง
คูเรชีมองว่าตลาดคาดการณ์ (prediction market) จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้จะต้องเผชิญแรงต้านด้านกฎหมาย เช่น การควบคุมการเดิมพันกีฬาในระดับท้องถิ่น หรือกฎสิทธิ์ระดับรัฐบาลกลาง โดยแพลตฟอร์มอย่าง Polymarket มีแนวโน้ม ‘ครองกระแสหลัก’ ด้วยจุดแข็งด้านวัฒนธรรมและความสามารถในการแข่งขัน
ในทางตรงกันข้าม แพลตฟอร์มแบบ B2B ที่เน้นขายพันธมิตรองค์กรจะล้มเหลว ส่วนผู้เล่นรายย่อยอย่าง โรบินฮูด, คัลชิ และบริษัทสายเดิมพันแบบดั้งเดิมอาจไปได้ดีหากเน้นช่องทางสู่ผู้บริโภคโดยตรง
AI และเทคโนโลยีความเป็นส่วนตัว: ยังไม่ใช่เวลาของพวกเขา
เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์(AI) ในวงการคริปโตอาจยังคงจำกัดบทบาทไว้เพียงด้านการพัฒนาและความมั่นคง คูเรชีมองว่าออโตเมชันในกระเป๋าเงินหรือระบบโอนเงินอัตโนมัติยังเป็นเรื่องของอนาคต
ด้านเทคโนโลยีความเป็นส่วนตัว แม้จะได้รับความสนใจ แต่ก็ยังไม่สามารถขยายฐานการใช้งานได้กว้างนัก ตัวอย่างเช่น Worldcoin ที่มีผู้ยืนยันตัวตนเพียง 17 ล้านรายจากประชากรโลกกว่า 8 พันล้าน ถือว่ายังไม่ ‘ได้ผลลัพธ์’ มากพอ
เขาเชื่อว่าโซลูชันแบบ ZK Passport ที่เชื่อมระบบ NFC อาจกลายเป็น ‘ตัวแทนช่วงสั้น’ ที่เข้ามาแทนที่ได้ ส่วนความต้องการเหรียญความเป็นส่วนตัวอย่างซิเคช(ZEC) จะยังมีอยู่ เพราะ “ผู้คนอยากเชื่อว่ามันช่วยปกป้องข้อมูลจริงๆ”
ความคิดเห็น 0