ค่าเงินเรียลของอิหร่านร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในประวัติการณ์ กระตุ้นให้เกิดการประท้วงทางเศรษฐกิจทั่วประเทศ ความไม่พอใจต่อการบริหารนโยบายการเงินที่ล้มเหลวของรัฐบาลได้ปะทุขึ้นเป็นเสียงต่อต้านในท้องถนน ขณะที่บิตคอยน์(BTC) ถูกมองว่าอาจเป็นทางเลือกหนึ่งในการจัดการกับวิกฤตเชิงโครงสร้างเช่นนี้
ค่าเงินเรียลอ่อนค่าลงอย่างหนัก โดยในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา อัตราแลกเปลี่ยนแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 1.42 ล้านเรียล จากข้อมูลเมื่อวันที่ 24 เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ เกิดความตื่นตระหนกในหมู่ผู้บริโภค และก่อให้เกิดการประท้วง โดยมูลค่าเรียลเทียบกับช่วงที่อิหร่านลงนามข้อตกลงนิวเคลียร์ในปี 2015 ลดลงถึง 44 เท่า
ผู้ว่าการธนาคารกลาง โมฮัมหมัด เรซา ฟาร์ซิน ได้ลาออกเมื่อวันจันทร์ ขณะที่ในกรุงเตหะราน และเมืองสำคัญต่างๆ เช่น อิสฟาฮาน, ชีราซ และมัชฮัด เกิดการปิดร้านค้าทั่วเมืองและมีการชุมนุมติดต่อกันสองวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกลุ่มพ่อค้าในเขตตลาดหลักอย่างบาซาร์ใหญ่เข้าร่วม ทำให้สถานการณ์ดูตึงเครียดยิ่งขึ้น ถือเป็นสัญญาณของการสูญเสียความเชื่อมั่นจากประชาชนในวงกว้าง
ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ กลุ่มผู้สนับสนุนบิตคอยน์เริ่มออกมาตอบรับโดยเฉพาะ ฮันเตอร์ ฮอร์สลีย์ ซีอีโอของ Bitwise ที่กล่าวว่า “ความล้มเหลวทางเศรษฐกิจไม่ใช่เรื่องใหม่... บิตคอยน์คือวิธีใหม่ที่ประชาชนจะสามารถปกป้องตัวเองได้” สะท้อนมุมมองที่มองเห็น *บิตคอยน์* เป็น ‘ที่พักพิงทางการเงิน’ ในภาวะไม่มั่นคงเช่นนี้
ขณะเดียวกัน เสียงเรียกร้องในท้องถนนยังคงรุนแรง โดยผู้ประท้วงกล่าวถึงค่าครองชีพที่สูงขึ้น และระบบเศรษฐกิจที่ไม่สามารถดำเนินไปได้ตามปกติ มีการตะโกนคำขวัญอย่าง “อย่ากลัว เราอยู่ด้วยกัน” และ “จงตายเถิดเผด็จการ!” การปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ความมั่นคงกับผู้ชุมนุมในแหล่งค้าขายหลักกลายเป็นฉากที่พบเห็นได้ถี่ขึ้น บางพื้นที่ตำรวจถึงขั้นถอยร่น เป็นภาพสะท้อนความไม่พอใจที่ลุกลามจากแค่การประท้วงทางเศรษฐกิจไปสู่การท้าทายโครงสร้างอำนาจของรัฐอิสลาม
แม้สื่อชาติจะพยายามลดระดับเหตุการณ์ให้เป็นเพียง “ข้อร้องเรียนด้านเศรษฐกิจ” แต่จากวิดีโอที่เผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์ เห็นชัดว่าการประท้วงมีเนื้อหาโจมตีรัฐบาลอย่างตรงไปตรงมา รวมถึงภาพของการโจมตีรถเจ้าหน้าที่ศาสนา
รายงานอย่างเป็นทางการระบุว่า อัตราเงินเฟ้อของประเทศในเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้นถึง *52.6%* เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคและยาซึ่งเพิ่มขึ้น 72% และ 50% ตามลำดับ นักวิเคราะห์ประเมินว่า การเงินของอิหร่านเข้าสู่ภาวะ *ใกล้เคียงกับเงินเฟ้อขั้นสูงสุด (Hyperinflation)*
ปัจจัยซ้ำเติมได้แก่ สงครามกับอิสราเอลช่วงเดือนมิถุนายนที่กินเวลานาน 12 วัน รวมถึงการนำบทลงโทษของสหประชาชาติกลับมาใช้ในเดือนกันยายน ส่งผลให้โครงสร้างพื้นฐานพังทลาย และทำให้เงินตราต่างประเทศที่สำรองไว้ไม่สามารถใช้ได้ รัฐบาลยังต้องปรับนโยบายควบคุมราคาน้ำมัน โดยตั้งแต่วันเสาร์ที่ผ่านมา ได้เปลี่ยนไปใช้ระบบคิดราคาน้ำมันแบบหลายชั้น และคิดราคาสูงถึงสามเท่าสำหรับการใช้น้ำมันเกิน 160 ลิตรต่อเดือน
จากวิกฤตที่รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง มาซูด เปเซชเคียน ประธานาธิบดีของประเทศ ให้คำมั่นในการปฏิรูประบบการเงินและธนาคารพร้อมแต่งตั้ง *อับดุลนัสเซอร์ เฮมาตี* อดีตรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ขึ้นแทนตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารคนใหม่
ในด้านตลาดคริปโต ขณะที่ตลาดทุนแบบดั้งเดิมมีความผันผวนสูงในช่วงปลายปี ราคาบิตคอยน์เมื่อวันเดียวกันเคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ *87,000 ดอลลาร์สหรัฐ* (ราว 1.25 ล้านบาท) แสดงถึง *ความสามารถในการรักษามูลค่าที่มั่นคง* ท่ามกลางวิกฤตจากระบบเศรษฐกิจแบบดั้งเดิม
นักวิเคราะห์บางรายเห็นว่า *เมคานิซึมแบบไร้ศูนย์กลางของคริปโต* อาจเป็นเครื่องมือที่เข้ามาช่วยแก้ไขข้อบกพร่องเชิงโครงสร้างของระบบการเงินแบบศูนย์กลาง โดย *ไบรอัน อาร์มสตรอง* ซีอีโอของ Coinbase ให้ความเห็นว่า “บิตคอยน์อาจทำหน้าที่เป็นกลไกคานอำนาจของดอลลาร์สหรัฐได้เช่นกัน” แสดงให้เห็นถึงบทบาทใหม่ของ *บิตคอยน์* ในฐานะตราสารแห่งความมั่นคงทางเศรษฐกิจในอนาคต
กรณีของอิหร่านกลายเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่สะท้อนถึงบทบาทที่เพิ่มขึ้นของบิตคอยน์ในฐานะ *ทรัพย์สินที่กระจายความเชื่อมั่น* ซึ่งอาจช่วยเร่งให้เกิดบทสนทนาเรื่อง *อนาคตของระบบการเงินโลก* อย่างจริงจังมากยิ่งขึ้นต่อไป
ความคิดเห็น 0