รัฐบาลจีนประกาศเพิ่ม ‘ดอกเบี้ย’ ให้กับเงินหยวนดิจิทัล(e-CNY) ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2026 เป็นต้นไป ถือเป็นการปรับสถานะของสกุลเงินนี้จาก ‘เงินสด’ ให้กลายเป็น ‘เงินฝาก’ อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมผลักดันให้ธนาคารพาณิชย์สามารถให้ดอกเบี้ยแก่ผู้ถือเงินหยวนดิจิทัล คล้ายกับบัญชีเงินฝากปกติ
เมื่อวันที่ 24 สื่อท้องถิ่นรายงานว่า ธนาคารกลางจีน (PBOC) เปิดเผยนโยบายใหม่ที่จะอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์จ่ายดอกเบี้ยตามอัตราปกติให้กับยอดเงินที่เก็บอยู่ในกระเป๋าเงินหยวนดิจิทัล โดยรูปแบบของสินทรัพย์จะถูกเปลี่ยนจาก ‘ลักษณะเงินสด’ เป็น ‘ลักษณะเงินฝาก’ ภายใต้นโยบายที่ลงนามโดย ลู่ เล่ย (Lu Lei) รองผู้ว่าการธนาคารกลาง คาดว่าจะทำให้ระบบภายในทั้งหมดต้องได้รับการปรับปรุงใหม่
ตามรายงาน กระเป๋าเงินดิจิทัลทั้งแบบบุคคลและองค์กรจะถูกจัดการเสมือนเป็นบัญชีเงินฝากแบบปกติของธนาคาร ผู้ใช้งานจะได้รับดอกเบี้ยตามอัตราที่แต่ละธนาคารกำหนด เช่นเดียวกับระบบการออมเงินแบบดั้งเดิม ในขณะเดียวกัน กระเป๋าเงินหยวนดิจิทัลยังจะได้รับความคุ้มครองภายใต้ระบบคุ้มครองผู้ฝากเงินในประเทศจีน ซึ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจและเสถียรภาพให้กับประชาชน
ในกรณีของผู้ให้บริการกระเป๋าเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร เช่น แอปพลิเคชันการชำระเงินต่าง ๆ จะถูกบังคับให้ถือเงินสำรอง 100% และต้องรายงานข้อมูลอย่างละเอียดต่อรัฐบาล ซึ่งหมายความว่า ทุกสถาบันที่เกี่ยวข้องกับเงินหยวนดิจิทัล ไม่ว่าจะแบงก์หรือเอกชน จะต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลที่เข้มงวดในระดับเดียวกัน
ผลจากการเปลี่ยนแปลงนี้อาจเห็นได้ชัดในระดับมหภาค ปัจจุบัน การใช้เงินหยวนดิจิทัลสะสมมีมากถึง 348 พันล้านรายการ คิดเป็นมูลค่าราว 16.7 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 2,407 ล้านล้านบาท) ณ เดือนพฤศจิกายน 2025 *แหล่งข้อมูลทางการระบุ* ซึ่งการแนบ ‘ดอกเบี้ย’ เพิ่มเติมอาจเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้ผู้ใช้งานของแพลตฟอร์มอย่างอาลีเพย์และวีแชทเพย์บางส่วน แปรเปลี่ยนมาใช้สกุลเงินดิจิทัลของรัฐแทน
ความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญแสดงให้เห็นว่า โครงสร้างใหม่นี้มีแนวโน้มจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของระบบเศรษฐกิจดิจิทัลของจีน และอาจเป็นแรงผลักดันให้ประเทศอื่น ๆ ใช้โมเดลคล้ายกันในอนาคต โดยเฉพาะบทบาทของ CBDC ในฐานะ ‘เครื่องมือทางการเงิน’ ที่มีศักยภาพมากกว่าเพียงการทำธุรกรรม
ด้านธนาคารพาณิชย์ ก็ต้องเตรียมการครั้งใหญ่ โดยเฉพาะระบบชำระบัญชีและการคำนวณดอกเบี้ย รวมถึงภาระงานด้านคลีริงที่เพิ่มขึ้น ถึงแม้ต้นทุนระยะสั้นจะสูงขึ้น แต่หลายฝ่ายคาดว่าผลตอบแทนจากการเพิ่มยอดฝากในกระเป๋าเงินดิจิทัลจะเป็นปัจจัยชดเชยและเพิ่มศักยภาพรายได้ในระยะยาว
อีกด้านหนึ่ง ธนาคารกลางจีนยังมีแผนขยายระบบจ่ายดอกเบี้ยในเงินหยวนดิจิทัลเข้าสู่ระบบ *ข้ามพรมแดน* โดยเริ่มจากประเทศที่มีความร่วมมือการทดสอบอยู่ก่อนแล้ว อย่างฮ่องกง, สิงคโปร์, ไทย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป้าหมาย คือ การยกระดับระบบ CBDC สู่บทบาทในตลาดการชำระเงินระหว่างประเทศ
นอกจากนี้ ยังมีการเสริมความเข้มข้นในการควบคุมผู้ดูแลเงินหยวนดิจิทัล โดยเฉพาะในการจัดการดอกเบี้ย การรับประกันเงินทุน และการรายงานทางบัญชี ทั้งธนาคารและผู้ให้บริการภายนอกต่างต้องปรับตัวสู่มาตรฐานการกำกับดูแลระดับเดียวกับสถาบันการเงิน
แนวทางใหม่นี้ถูกมองว่าเป็นการยกระดับหยวนดิจิทัลจาก ‘แค่ช่องทางการชำระเงิน’ ไปสู่ ‘เครื่องมือเก็บมูลค่า’ อย่างแท้จริง ซึ่งจะส่งผลต่อเสถียรภาพของระบบการเงินจีนโดยรวม และสร้างมาตรฐานใหม่ที่อาจกลายเป็นต้นแบบให้กับหลายประเทศในอนาคต
ความคิดเห็นในวงการระบุว่า หากแผนนี้ประสบความสำเร็จ จีนอาจกลายเป็นประเทศแรกของโลกที่มี CBDC แบบ ‘เงินฝากจ่ายดอกเบี้ย’ อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจะกลายเป็นอ้างอิงสำคัญต่อการพัฒนาเทคโนโลยีการเงินระดับโลกต่อไป
ความคิดเห็น 0