เหรียญริปเปิล(XRP) กำลังเปลี่ยนบทบาทจาก ‘สินทรัพย์เก็บสะสม’ มาเป็น ‘ทรัพย์สินทางการเงินที่ใช้งานได้จริง’ ผ่านการสนับสนุนของเครือข่ายฟล레ร์ (Flare) ซึ่งทำให้โทเคน FXRP ที่สร้างขึ้นบนเครือข่ายดังกล่าวสามารถใช้งานในระบบการเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi) ได้ในวงกว้าง ความเคลื่อนไหวนี้มีแนวโน้มพลิกภาพลักษณ์ของ XRP โดยการเพิ่มศักยภาพยูทิลิตี้ และสร้างฐานผู้ใช้งานที่ใช้งานโทเคนอย่างต่อเนื่อง
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ฟล레ร์เปิดเผยผ่านข้อมูลออนเชนว่า โทเคน FXRP กว่า 80% ถูกนำไปใช้งานในโปรโตคอล DeFi คิดเป็นมูลค่าราว 124.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,800 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นการใช้งานที่แอคทีฟ ไม่ใช่เพียงการเก็บไว้ในกระเป๋าเงินเท่านั้น อีกทั้งในช่วงที่ตลาดอยู่ในภาวะซบเซา จำนวนผู้ใช้งานและกิจกรรมการทำธุรกรรมของ FXRP กลับมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ แสดงให้เห็นถึง ‘การเปลี่ยนผ่านจากสินทรัพย์เฉยๆ สู่สินทรัพย์เชิงรุก’
ตัวแทนฟลเลร์ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า "ภาพจำว่า ผู้ถือครอง XRP ขาดการมีส่วนร่วม กำลังค่อย ๆ จางหายไป" พร้อมระบุว่าการที่มี FXRP ถูกล็อกไว้ในแพลตฟอร์ม DeFi เป็นจำนวนมาก ประกอบกับการไหลเวียนของสภาพคล่องและการเพิ่มขึ้นของผู้ใช้งาน แสดงให้เห็นถึง ‘แนวโน้มความเชื่อมั่น’ ในการมีส่วนร่วมผ่านโครงสร้างแบบกระจายศูนย์
ตามแดชบอร์ดฟลเลร์ ข้อมูลล่าสุดระบุว่า FXRP หมุนเวียนในระบบทั้งหมดราว 83.95 ล้านโทเคน โดยมากถึง 67.8 ล้านโทเคนถูกเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน DeFi จำนวนธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับ FXRP ทะลุ 1.2 ล้านรายการ โดยเฉพาะธุรกรรม Swap ที่มีมากถึง 1.12 ล้านรายการ ขณะที่กิจกรรมอื่น ๆ เช่น การให้สภาพคล่องและถอนสภาพคล่องก็มีปริมาณหลายหมื่นรายการ
“การล็อกเงินในระบบไม่ใช่เพียงเพื่อหวังการเก็งกำไรระยะสั้น แต่เป็นการมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่องที่ตั้งอยู่บนความเชื่อมั่นในระบบ” ตัวแทนจากฟลเลร์กล่าว “หากมีโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม XRP สามารถขยายบทบาทความเป็นสภาพคล่องในตลาด DeFi ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น”
ฟลเลร์ยังเดินหน้าขยายโครงสร้างพื้นฐานรองรับสมาร์ตคอนแทรกต์ให้หลากหลายยิ่งขึ้น โดยนอกจาก FXRP แล้ว ยังมีโทเคนแปลงเช่น stXRP ที่สามารถสเตกได้ ซึ่งปัจจุบันมีสินทรัพย์มูลค่าประมาณ 4.17 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 600 ล้านบาท ถูกล็อกใน Sparkdex ส่วนใน Enosys ก็มีการล็อกสินทรัพย์ stXRP ราว 1 ล้านดอลลาร์ ตลอดจนแพลตฟอร์ม Kinetic ที่มี FXRP ถูกจัดสรรเกือบ 37.4 ล้านโทเคน โดยรวมแล้ว มูลค่าทรัพย์สินจาก XRP ที่ถูกใช้งานในระบบ DeFi ทะลุ 72 ล้านดอลลาร์ สะท้อนให้เห็นว่าคริปโตเคอร์เรนซีอย่าง XRP สามารถมีบทบาทหลักในระบบการเงินไร้คนกลางได้ แม้จะไม่มีองค์กรควบคุมรวมศูนย์
ในขณะเดียวกัน กระแสขยายโครงสร้าง DeFi ยังส่งต่อไปยังบิตคอยน์(BTC) ซึ่งโครงการใหม่ ‘Bitcoin Hyper’ กำลังได้รับความสนใจ เครือข่ายดังกล่าวทำงานผ่าน SVM (Solana Virtual Machine) โดยมีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงบิตคอยน์กับระบบ DeFi อย่างเต็มรูปแบบ ลดข้อจำกัดเรื่องความเร็วและค่าธรรมเนียมที่เคยเป็นอุปสรรค
โทเคน ‘HYPER’ ที่ออกมาในระบบนี้จะใช้ในการทำธุรกรรม สเตกกิง และกำกับดูแล (Governance) ซึ่งแสดงถึงความพยายามในการเปลี่ยนบทบาทของบิตคอยน์จาก ‘เครื่องมือเก็บมูลค่า’ มาเป็น ‘ทรัพย์สินที่ใช้งานได้ในระบบแบบไร้คนกลาง’ เช่นเดียวกับกรณีของ XRP ความเห็นจากหลายฝ่ายชี้ว่า บิตคอยน์มีศักยภาพในด้านดีมานด์อยู่แล้ว เหลือเพียงการสร้าง ‘โครงสร้างพื้นฐานที่เข้าถึงได้’ ซึ่งจะเป็นตัวปลดล็อกความสามารถเหล่านั้น
แนวโน้มเหล่านี้สะท้อนหลักการสำคัญว่า ‘สิ่งที่ทำให้เกิดประโยชน์ใน DeFi ไม่ใช่ความต้องการเพียงอย่างเดียว แต่คือโครงสร้างที่พร้อมรองรับ’ และเคสของ XRP กับฟลเลร์ก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า เมื่อมีอินฟราที่เข้าถึงได้ สินทรัพย์ที่เคยถูกมองว่าไร้ประโยชน์ในเชิงยูทิลิตี้สามารถกลายเป็นตัวหลักในระบบการเงินรูปแบบใหม่ได้อย่างแท้จริง
*ความคิดเห็น: โครงสร้างพื้นฐาน คือหัวใจของการปลดล็อกศักยภาพสินทรัพย์คริปโต ไม่ใช่แค่ความหวังหรือราคาตลาด*
ความคิดเห็น 0