ตลาดสเตเบิลคอยน์กำลังร้อนแรงขึ้นเมื่อ 'เทเธอร์(USDT)' และ 'เซอร์เคิล(USDC)' แข่งขันกันอย่างหนักเพื่อแย่งชิงความเป็นผู้นำ ทั้งสองบริษัทต่างเดินเกมเชิงรุกเพื่อรักษาตำแหน่งของตน ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบและสภาพแวดล้อมของตลาดโลกที่ท้าทาย
เมื่อวันที่ 3 เทเธอร์ประกาศแต่งตั้ง 'ไซมอน แม็กวิลเลียมส์' เป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (CFO) คนใหม่ เพื่อปรับปรุงความโปร่งใสในการดำเนินงาน โดยแม็กวิลเลียมส์เคยทำงานในบริษัทฟินเทคและกองทุนเฮดจ์ฟันด์มาก่อน ทำให้ตลาดมองว่าเทเธอร์อาจเดินหน้าการตรวจสอบทางการเงินที่เคยถูกตั้งคำถามมานาน ก่อนหน้านี้ เทเธอร์เคยให้คำมั่นว่าจะเปิดเผยข้อมูลทางการเงินอย่างเต็มรูปแบบ แต่กลับเผยแพร่เพียง 'รายงานความมั่นคง' รายไตรมาสแทน ทำให้ยังมีข้อกังขาถึงความโปร่งใสของบริษัท
ขณะเดียวกัน เทเธอร์กำลังเผชิญกับปัญหาจาก 'กฎระเบียบตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล (MiCA)' ของสหภาพยุโรป ซึ่งอาจส่งผลให้ USDT ถูกระงับการซื้อขายใน 'เขตเศรษฐกิจยุโรป (EEA)' โดยแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตชั้นนำอย่าง 'ไบแนนซ์' เตรียมระงับการซื้อขาย USDT และสเตเบิลคอยน์อื่น ๆ ที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม ขณะที่ USDC ของเซอร์เคิลได้รับการอนุมัติให้เป็นสเตเบิลคอยน์ที่สอดคล้องกับกฎระเบียบ MiCA แล้ว ส่งผลให้ USDC มีโอกาสขยายส่วนแบ่งตลาดในยุโรป
สถานการณ์ในญี่ปุ่นมีแนวโน้มที่เป็นบวกสำหรับเซอร์เคิลเช่นกัน หลังจากที่บริษัทได้จับมือกับ 'SBI VC เทรด' ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้ 'เอสบีไอ โฮลดิ้งส์' เพื่อให้บริการ USDC ในประเทศ นับตั้งแต่สำนักงานบริการทางการเงินของญี่ปุ่น (FSA) เปิดทางให้สเตเบิลคอยน์ต่างประเทศเข้ามาดำเนินธุรกิจได้ ในทางกลับกัน เทเธอร์ยังไม่สามารถสร้างสถานะที่แน่ชัดในตลาดญี่ปุ่น
อย่างไรก็ตาม เทเธอร์ไม่ได้ยอมแพ้ ล่าสุดบริษัทสามารถได้รับการยอมรับจาก 'ศูนย์การเงินระหว่างประเทศอาบูดาบี' ให้ USDT เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่ถูกกฎหมายในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) และกำลังกระชับตำแหน่งในภูมิภาคตะวันออกกลาง นอกจากนี้ เทเธอร์ยังร่วมมือกับแพลตฟอร์มซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ใน UAE เพื่อเปิดโอกาสให้มีการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ผ่าน USDT
อีกหนึ่งประเด็นร้อนคือมิติทางการเมืองของการแข่งขัน โดย 'วอลล์สตรีทเจอร์นัล (WSJ)' รายงานว่า 'จานคาร์โล เดวาซินี' ผู้ร่วมก่อตั้งเทเธอร์ อ้างว่า 'เจเรมี อัลแลร์' ซีอีโอของเซอร์เคิล พยายามใช้กฎระเบียบในสหรัฐฯ เพื่อกำจัดเทเธอร์ ด้านเทเธอร์เองก็มีการสร้างสัมพันธ์กับ 'ฮาวเวิร์ด รูทนิค' รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ และยังเชื่อมโยงกับ 'ประธานาธิบดีทรัมป์' เพื่อพยายามต่อต้านร่างกฎหมายควบคุมสเตเบิลคอยน์ที่กำลังถูกเสนอในรัฐสภาสหรัฐฯ
ในแง่ของมาตรการด้านความปลอดภัย เทเธอร์และเซอร์เคิลมีแนวทางที่แตกต่างกัน เทเธอร์เน้นย้ำว่าบริษัทได้ร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของสหรัฐฯ ในการแช่แข็งสินทรัพย์จากกิจกรรมผิดกฎหมาย ขณะที่เซอร์เคิลเผชิญกับคำวิจารณ์เกี่ยวกับการตอบสนองที่ล่าช้า โดยเฉพาะกรณีของ 'ลาซารัส กรุ๊ป' กลุ่มแฮกเกอร์จากเกาหลีเหนือ ที่สามารถแปลงสินทรัพย์ที่ขโมยจาก 'บายบิท' มูลค่ากว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์เป็น USDC ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านบล็อกเชนมองว่าเซอร์เคิลควรดำเนินการเร็วกว่าเดิม
ท้ายที่สุด การแข่งขันระหว่างเทเธอร์และเซอร์เคิลไม่ได้เป็นเพียงการช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามกฎระเบียบ อิทธิพลทางการเมือง และการยึดครองสถานะในระบบการเงินโลก นับวันการแข่งขันนี้ยิ่งดุเดือดขึ้น และตลาดกำลังจับตาดูว่าฝ่ายใดจะสามารถครองความเชื่อมั่นจากผู้ใช้งานได้มากกว่ากัน
ความคิดเห็น 0