ทางการจีนเพิ่มความเข้มงวดในการปราบปรามการฟอกเงินและการฉ้อโกงทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินดิจิทัล โดยในปี 2024 มีผู้ถูกดำเนินคดีในข้อหาที่เกี่ยวข้องถึง 3,032 ราย ในขณะที่ยอดรวมของผู้ต้องหาจากอาชญากรรมทางการเงินทั้งหมดทะลุ 25,000 ราย
แคมเปญปราบปรามนี้ได้รับการเปิดเผยผ่านรายงานของอิงหยง(Ying Yong) อัยการสูงสุดของสำนักงานอัยการประชาชนสูงสุด ในการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ(แห่งชาติ) ครั้งที่ 14 รายงานดังกล่าวชี้ให้เห็นว่ากลโกงการฟอกเงินด้วย ‘สกุลเงินดิจิทัล’ มีความซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งเป็นเหตุผลให้รัฐบาลต้องใช้มาตรการที่เข้มงวดเพื่อตอบโต้
โดยทั่วไป ‘การฟอกเงินด้วยคริปโต’ มักเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนเงินที่ได้จากการกระทำผิดให้เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีลักษณะไม่เปิดเผยตัวตน จากนั้นจะถูกส่งผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลหลายบัญชีเพื่อยากต่อการตรวจสอบ ก่อนถูกเปลี่ยนกลับเป็นเงินสกุลปกติ การปราบปรามในครั้งนี้มุ่งเน้นไปที่การติดตามเส้นทางการเงินเพื่อขัดขวางกลุ่มอาชญากรรมเหล่านี้
นอกจากนี้ รายงานยังกล่าวถึงการดำเนินคดีเกี่ยวกับอาชญากรรมในตลาดหลักทรัพย์และการฉ้อโกงทางการเงิน โดยในปี 2024 มีผู้ต้องหา 825 รายถูกดำเนินคดีในข้อหาทุจริตด้านหลักทรัพย์ ในกรณีของ ‘เอเวอร์แกรนด์’ และ ‘จงจื้อ กรุ๊ป’ ซึ่งเป็นสองบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอสังหาริมทรัพย์ของจีน มีผู้ถูกดำเนินคดี 42 ราย และ 49 รายตามลำดับ คณะกรรมการกำกับดูแลหลักทรัพย์แห่งประเทศจีน(CSRC) ยังระบุว่ากำลังร่วมมือกับสำนักงานอัยการเพื่อจัดระเบียบตลาดกองทุนรวมภาคเอกชน
จีนยังคงรักษานโยบายห้ามการใช้ ‘สกุลเงินดิจิทัล’ อย่างเข้มงวด โดยไม่ได้มอบหมายให้หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งรับผิดชอบเพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างธนาคารกลางแห่งประเทศจีนและหน่วยงานกำกับดูแลต่างๆ อย่างไรก็ตาม ปริมาณธุรกรรมผิดกฎหมายที่เพิ่มขึ้นทำให้รัฐบาลต้องประกาศมาตรการกำกับดูแลที่เข้มงวดมากขึ้น
การดำเนินการครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงจุดยืนของรัฐบาลจีนในการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน และส่งสัญญาณเตือนไปยังอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมมองว่าท่าทีแข็งกร้าวของจีนอาจส่งผลกระทบต่อแนวทางการกำกับดูแลคริปโตในระดับสากลอีกด้วย
ความคิดเห็น 0