นักลงทุนคริปโตรายใหญ่ถูกบังคับ ‘ชำระบัญชี’ ขาดทุนกว่า 308 ล้านดอลลาร์จากการใช้เลเวอเรจสูงใน ‘อีเธอเรียม(ETH)’
ตามข้อมูลจากแพลตฟอร์มวิเคราะห์บล็อกเชน ไฮเพอร์สแกน(Hypurrscan) พบว่า เทรดเดอร์นิรนามรายหนึ่งได้เปิด ‘สถานะซื้อ’ (Long Position) อีเธอเรียมขนาด 160,234 ETH ด้วย ‘เลเวอเรจ 50 เท่า’ แต่สุดท้ายถูก ‘บังคับชำระบัญชี’ จากความผันผวนของตลาด เทรดเดอร์รายนี้เข้าสถานะซื้อเมื่อราคา ETH อยู่ที่ 1,900 ดอลลาร์ และมี ‘ราคาไล่ชำระบัญชี’ ที่ 1,877 ดอลลาร์
บริษัทวิเคราะห์บล็อกเชน ลุคออนเชน(Lookonchain) ระบุว่า ก่อนถูกล้างพอร์ต เทรดเดอร์รายนี้ได้ขาย ‘บิตคอยน์(BTC)’ ที่เขาถืออยู่ทั้งหมด และนำเงินไปเปิด ‘สถานะซื้อเลเวอเรจ’ ในอีเธอเรียม ซึ่งติดอยู่ในกระแสความผันผวนของตลาด
การชำระบัญชีครั้งใหญ่นี้เกิดขึ้นท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นจาก ‘ความขัดแย้งทางการค้าระดับโลก’ ซึ่งส่งผลให้ทั้งตลาดคริปโตและตลาดการเงินแบบดั้งเดิมมีความผันผวนสูงขึ้น นอกจากนี้ การประกาศ ‘มาตรการภาษีตอบโต้’ จากสหภาพยุโรป(EU) ยังเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ความเชื่อมั่นในตลาดลดลง นักลงทุนจำนวนมากจึงพากันลดความเสี่ยง
ในขณะเดียวกัน ‘ราคาอีเธอเรียม’ ยังคงร่วงต่อเนื่องหลังจากแตะ ‘ระดับสูงสุด 4,100 ดอลลาร์’ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคมปีที่แล้ว ซึ่งล่าสุดได้ถูกปรับฐานลงมาอยู่ในช่วง 1,800 ดอลลาร์ นักวิเคราะห์จากบิทฟิเน็กซ์(Bitfinex) ชี้ว่า ปัจจัยที่ฉุดรั้งการฟื้นตัวของ ETH ได้แก่ ‘การลดลงของโครงการใหม่และกิจกรรมของนักพัฒนา’ รวมถึง ‘ต้นทุนการดำเนินงานที่สูง’
นอกจากนี้ กองทุน ETF อีเธอเรียมแบบ ‘สปอต’ ที่ซื้อขายในสหรัฐฯ ยังเป็น ‘ปัจจัยกดดัน’ ราคาของ ETH อีกด้วย โดยข้อมูลจากโซโซแวลู(Sosovalue) ระบุว่า ETF ดังกล่าวมี ‘กระแสเงินไหลออก’ ต่อเนื่องเป็นเวลา 4 สัปดาห์ติดต่อกัน โดยเฉพาะเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเพียงสัปดาห์เดียว มีเงินทุนไหลออกไปถึง 119 ล้านดอลลาร์
ผู้เชี่ยวชาญในตลาดมองว่า ‘การปรับฐานของ ETH’ ครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่กับสินทรัพย์นี้เท่านั้น แต่เป็นส่วนหนึ่งของ ‘การเคลื่อนไหวของสินทรัพย์เสี่ยงโดยรวม’ และแนวโน้มของตลาดคริปโตจะขึ้นอยู่กับ ‘สภาพแวดล้อมทางการค้าโลก’ และปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคในระยะต่อไป
ความคิดเห็น 0