อีเธอเรียม(ETH) แม้จะร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 17 เดือน แต่สัญญาณจากตลาดและข้อมูลบนเชนกำลังส่งสัญญาณว่าราคามีโอกาสฟื้นตัวได้ในอนาคต
ระหว่างวันที่ 8 ถึง 11 มีนาคม ราคาของอีเธอเรียมร่วงลงถึง 13% แตะระดับ 1,744 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นผลมาจากความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและความตึงเครียดทางการค้า ทำให้นักลงทุนโยกย้ายเงินทุนไปยังสินทรัพย์ที่ปลอดภัยขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญมองว่าการร่วงลงครั้งนี้อาจเป็นโอกาสในการกลับตัวของราคา โดยปัจจุบัน ETH ซื้อขายอยู่ที่ 1,940 ดอลลาร์ และหากต้องการแตะระดับ 2,500 ดอลลาร์อีกครั้ง ต้องมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 29% ซึ่งข้อมูลบนเชนในขณะนี้กำลังสนับสนุนแนวโน้มดังกล่าว
ระบบเลเยอร์ 2(L2) ของเครือข่ายอีเธอเรียมยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงปลายปี 2021 ค่าธรรมเนียมเฉลี่ยของเครือข่ายสูงถึง 50 ดอลลาร์ ขณะที่ปัจจุบันลดลงเหลือเพียง 1.70 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นผลจากการพัฒนาโซลูชันอย่าง ไลท์นิงเน็ตเวิร์ก, ออพติมิซึม และอาร์บิทรัม ที่ช่วยเพิ่มปริมาณการทำธุรกรรมและเสริมประสิทธิภาพของเครือข่าย
ในภาคของการเงินไร้ศูนย์กลาง(DeFi) อีเธอเรียมยังคงมีบทบาทสำคัญ เมื่อวันที่ 11 มีนาคม มูลค่าสินทรัพย์ที่ถูกล็อกไว้(TVL) เพิ่มขึ้นเป็น 24 ล้าน ETH ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2022 อีกทั้งในภาคของตลาดกระจายศูนย์(DEX) อีเธอเรียมกลับขึ้นมาครองตำแหน่งผู้นำอีกครั้ง ด้วยปริมาณการซื้อขายในช่วง 7 วันที่ผ่านมาอยู่ที่ 205,000 ล้านดอลลาร์ แซงหน้าคู่แข่งอย่างโซลานา(SOL) ที่มีปริมาณซื้อขาย 139,000 ล้านดอลลาร์
อีกหนึ่งปัจจัยสนับสนุนคือความสนใจจากนักลงทุนสถาบันที่เพิ่มขึ้นต่อกองทุน ETF ของอีเธอเรียม โดยขณะนี้กองทุน ETF ที่เน้นการลงทุนใน ETH มีเงินทุนไหลเข้ามากถึง 8,900 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่เครือข่ายคู่แข่งอย่างโซลานายังอยู่ในขั้นตอนขออนุมัติ ETF ซึ่งทำให้ยังไม่มีสภาพคล่องในระดับเดียวกัน
สรุปแล้ว ทิศทางของอีเธอเรียมในระยะยาวยังคงขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมหภาค อย่างไรก็ตาม การเติบโตของโครงสร้างพื้นฐานเลเยอร์ 2 การขยายตัวของ DeFi และความสนใจจากนักลงทุนสถาบัน ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้อีเธอเรียมมีโอกาสกลับขึ้นไปแตะระดับ 2,500 ดอลลาร์ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
ความคิดเห็น 0