บิตคอยน์(BTC) ร่วงลงจากระดับสูงสุดในเดือนมกราคม แต่ผู้เชี่ยวชาญมองว่านี่เป็น ‘การปรับฐานตามปกติ’ และจุดสูงสุดของรอบขาขึ้นนี้ยังมาไม่ถึง
เบน ซิมป์สัน(Ben Simpson) ซีอีโอของ Collective Shift อธิบายว่า “การปรับฐานครั้งนี้คล้ายกับที่เกิดขึ้นในรอบตลาดที่ผ่านมา และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจมหภาคอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาขึ้นช้ากว่าที่คาดการณ์”
บิตคอยน์พุ่งขึ้นหลังจากทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง และแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 109,000 ดอลลาร์เมื่อวันที่ 20 มกราคม ก่อนปรับตัวลงราว 24% ท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม ซิมป์สันกล่าวว่า “ตลาดอยู่ในภาวะร้อนแรงและจำเป็นต้องมีการปรับฐาน หากมีตัวแปรใหม่เข้ามา ก็มีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวขึ้นอีกครั้ง”
นิค ฟอร์สเตอร์(Nick Forster) ผู้ก่อตั้ง Derive เสริมว่า “การปรับฐานในตลาดขาขึ้นระยะยาวเป็นเรื่องปกติ จุดสูงสุดของรอบนี้ยังมาไม่ถึง” พร้อมอธิบายเพิ่มเติมว่า “หลังทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง บิตคอยน์พุ่งขึ้น 36% ในเวลาเพียงหนึ่งเดือนจนทะลุระดับ 100,000 ดอลลาร์ ดังนั้นความผันผวนในช่วงสั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก”
ฟอร์สเตอร์ยังมองว่า ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ราคาบิตคอยน์จะเชื่อมโยงกับตลาดการเงินแบบดั้งเดิมมากขึ้น ขณะที่เอเดรียน พริเซโลนี(Adrian Przelozny) ซีอีโอของ Independent Reserve เตือนว่า “การปรับฐานครั้งนี้ไม่ได้กระทบแค่บิตคอยน์ แต่รวมถึงเศรษฐกิจมหภาคทั่วโลก ซึ่งอาจนำไปสู่เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโดยรวม”
ด้านชาร์ลส์ เอ็ดเวิร์ดส์(Charles Edwards) ผู้ก่อตั้ง Capriole Investments ระบุว่า “การลดลงของราคาบิตคอยน์ในปัจจุบันอาจไม่ใช่สัญญาณของตลาดขาลงโดยสมบูรณ์ หากธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยและเพิ่มสภาพคล่อง เราอาจเห็นการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มราคาอย่างรวดเร็ว”
อย่างไรก็ตาม จู กี-ยอง ซีอีโอของ CryptoQuant คาดการณ์ว่า “ตลาดกระทิงของบิตคอยน์ได้สิ้นสุดลงแล้ว และราคามีแนวโน้มจะเคลื่อนไหวในกรอบหรืออ่อนตัวลงในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า”
นักวิเคราะห์ในตลาดเห็นพ้องกันว่าการเปลี่ยนแปลงของนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ และแนวโน้มเศรษฐกิจมหภาคจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางของบิตคอยน์ในอนาคต
ความคิดเห็น 0