หนึ่งในตลาดซื้อขายคริปโตที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอย่าง ‘คอยน์เบส(COIN)’ เผชิญไตรมาสแรกของปี 2025 อย่างหนัก ด้วยการร่วงลงของหุ้นถึง *33%* เมื่อเทียบกับช่วงต้นไตรมาส ถือเป็นผลงานที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่เหตุการณ์ล่มสลายของ FTX ในไตรมาส 4 ปี 2022 โดยราคาหุ้นคอยน์เบสเริ่มปีที่ 257 ดอลลาร์ ก่อนจะปิดไตรมาสที่ 172 ดอลลาร์
แม้สถานการณ์ราคาหุ้นจะไม่สดใส แต่ผลประกอบการของคอยน์เบสในช่วงเวลาเดียวกันกลับถูกคาดการณ์ในเชิงบวก โดยจากจดหมายภายในถึงผู้ถือหุ้น สรุปว่า บริษัทสามารถสร้างรายได้จากค่าธรรมเนียมการซื้อขายได้ถึง *750 ล้านดอลลาร์* (ประมาณ 1.09 หมื่นล้านบาท) ภายในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ขณะที่รายได้จากการสมัครสมาชิกแบบประจำอยู่ในช่วง *685 - 765 ล้านดอลลาร์* (ประมาณ 1.0 - 1.12 หมื่นล้านบาท) ทางด้านบริษัทวิจัยมาร์เก็ตบีท(MarketBeat) คาดการณ์ว่ารายได้รวมตลอดไตรมาสจะอยู่ที่ราว *1.87 พันล้านดอลลาร์* (ประมาณ 2.73 หมื่นล้านบาท)
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่คอยน์เบสที่ถูกแรงเทขายในช่วงเวลาดังกล่าว บรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับคริปโตต่างพากันเผชิญแรงกดดันจากตลาดอย่างหนัก มาราธอน ดิจิทัล โฮลดิงส์(Marathon Digital Holdings) สูญเสียมูลค่าหุ้นมากกว่า *37%* จาก 17.5 ดอลลาร์เหลือ 11 ดอลลาร์ เช่นเดียวกับ ไลออต แพลตฟอร์มส์(Riot Platforms) ที่หุ้นร่วงลง *32%* จาก 10.5 ดอลลาร์เหลือเพียง 7.12 ดอลลาร์ ขณะที่บิทฟาร์มส์(Bitfarms) ปิดไตรมาสต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของช่วงเริ่มต้น เหลือเพียง 0.7882 ดอลลาร์
บริษัทเหมืองคริปโตอย่าง ฮัต8 ไมนิง(Hut 8 Mining) ซึ่งเคยมีข่าวเกี่ยวข้องกับลูกชายสองคนของ *ประธานาธิบดีทรัมป์* ผ่านโปรเจกต์ ‘อเมริกันบิตคอยน์’ ก็ไม่รอด โดยราคาหุ้นร่วงจาก 21.1 ดอลลาร์มาอยู่ที่ 11.62 ดอลลาร์ ท้ายไตรมาส ส่วนบริษัทอื่นอย่าง ไฮฟ์ ดิจิทัล เทคโนโลยีส์(Hive Digital Technologies) และ คานาน ครีเอทีฟ(Canaan Creative) ต่างสูญเสียมูลค่าหุ้นมากกว่าครึ่ง สะท้อนถึงภาวะอ่อนแรงทั่วทั้งอุตสาหกรรม
การร่วงลงครั้งนี้ไม่เพียงจำกัดอยู่แค่ในโลกคริปโต แต่ยังลามไปถึงตลาดหุ้นทั่วโลก โดยดัชนี S&P500 ก็ปรับลง *4.75%* ในช่วงเวลาเดียวกัน ท่ามกลางความกังวลจากนโยบายเศรษฐกิจและการค้าของ *ประธานาธิบดีทรัมป์* โดยเฉพาะมาตรการภาษีนำเข้าใหม่ที่มีแผนจะประกาศในวันที่ 2 เมษายน ซึ่งถูกมองว่าเป็นหนึ่งในแรงกดดันหลักต่อตลาดในตอนนี้
อเล็กซ์ ออฟชาเควิช(Alex Obchakevich) ผู้ก่อตั้งบริษัทวิจัย Obchakevich Research ให้ความเห็นว่า “*นโยบายภาษีของทรัมป์กำลังสร้างความไม่แน่นอนในตลาดแบบไร้ขอบเขต* โดยความกังวลเรื่องสงครามการค้าไม่ได้สร้างผลกระทบแค่ตลาดหลักทรัพย์ แต่ลามไปถึงสินทรัพย์ดิจิทัลด้วย” เขายังชี้ว่ากรณีของบริษัทไมโครสเตรทจี(ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น สเตรทจี) ที่ปี 2024 เติบโตถึง *400%* แต่ราคาหุ้นเพิ่งร่วงเพียง *3.95%* เท่านั้น สะท้อนให้เห็นว่า *กลยุทธ์ที่เน้นบิตคอยน์เป็นหลักยังพอช่วยกันความเสี่ยงได้บางส่วน*
ในขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมคริปโตกำลังเผชิญกับปัจจัยกดดันที่มากกว่าประเด็นทางเทคนิค โดยมีเรื่องภูมิรัฐศาสตร์และการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น หนึ่งในความกังวลล่าสุดคือการที่คอยน์เบสกลายเป็น ‘ผู้ตรวจสอบหลัก’ ของอีเธอเรียม(ETH) ส่งผลให้เกิดข้อครหาว่าระบบเริ่มมี ‘*ความเป็นศูนย์กลางมากขึ้น*’ ซึ่งสวนทางกับหลักการของคริปโตดั้งเดิม
นักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญหลายรายกำลังจับตางบการเงินไตรมาสแรกของคอยน์เบสที่มีกำหนดเปิดเผยในต้นเดือนพฤษภาคม ขณะที่นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลภายใต้การนำของทรัมป์จะยังคงเป็น ‘*ตัวแปรสำคัญ*’ ที่อาจนำตลาดไปสู่ทั้งการฟื้นตัวหรือถดถอยครั้งใหม่ได้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ความคิดเห็น 0