ความกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดทางการค้าระดับโลกที่ทวีความรุนแรงขึ้น อาจส่งผลให้เครือข่ายบล็อกเชนกระจายตัวตามภูมิภาคและเข้าถึงได้ยากขึ้นสำหรับผู้ใช้งาน เมื่อวันที่ 9 ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศระงับการเก็บภาษีนำเข้าบางประเทศชั่วคราว แต่ยืนยันเดินหน้าผลักดันภาษีนำเข้าสินค้าจีนสูงสุดถึง 125% ทำให้ความเป็นไปได้ของสงครามการค้าเต็มรูปแบบยังคงอยู่ในระดับสูง
แหล่งข่าวในวงการคริปโตระบุว่า หากสถานการณ์ยืดเยื้อ อาจนำไปสู่ผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานของบล็อกเชน เช่น การหยุดให้บริการโหนด การกระจายตัวของกฎระเบียบ และการเซ็นเซอร์ทางเทคโนโลยีอย่างรุนแรง นิโคลาส โรเบิร์ตส์-ฮันต์ลีย์ ซีอีโอของคอนกรีต แอนด์ โกลว์ ไฟแนนซ์(Concrete & Glow Finance) เผยว่า ‘กำแพงภาษีที่เข้มงวดและนโยบายการค้าตอบโต้ อาจเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อผู้ปฏิบัติงานระบบ เช่น ผู้ตรวจสอบและผู้รันโหนด' เขาเน้นว่าความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจระดับโลกสามารถสั่นคลอนโครงสร้างพื้นฐานของคริปโตโดยตรง
ตามข้อมูลจาก CoinMarketCap ณ วันที่ 10 เมษายน มูลค่ารวมของตลาดคริปโตลดลงประมาณ 4% ซึ่งเป็นผลสะท้อนจากความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีของทำเนียบขาวและปัจจัยมหภาคในภาพรวม
บิตคอยน์(BTC)ถูกมองว่าเปราะบางเป็นพิเศษต่อสงครามการค้า เนื่องจากกระบวนการขุดต้องพึ่งพาฮาร์ดแวร์เฉพาะ อย่างชิป ASIC ซึ่งส่วนใหญ่ผลิตจากจีนโดยบริษัทอย่างบิตเมน(Bitmain) หากมีการเก็บภาษีเพิ่มเติม ‘ซัพพลายเชนอาจล่มสลาย’ เดวิด ซีมเมอร์ ซีอีโอของเวฟ ดิจิทัล แอสเซตส์(Wave Digital Assets) กล่าวพร้อมเสริมว่า ‘สิ่งที่ใหญ่กว่าคือคุณค่าของบล็อกเชนที่ต้องเป็นระบบเปิดและไร้พรมแดนอาจถูกลดทอน’
ในบางประเทศที่มีการควบคุมเงินทุนเข้มงวด ผู้ใช้อาจประสบปัญหาในการเข้าถึงบิตคอยน์โดยตรง จอ เคลลี่ ซีอีโอของอันเชน(Unchained) ระบุว่า ‘รัฐบาลสามารถจำกัดการเข้าถึงผ่านการควบคุมตลาดแลกเปลี่ยนคริปโตหรือช่องทางการแปลงเงิน("on-ramps") ได้’
ในอีกมุมหนึ่ง เหตุการณ์นี้กลับตอกย้ำความสำคัญของเทคโนโลยีแบบไร้ศูนย์กลาง บิตคอยน์ยังคงถูกมองว่าเป็นเครื่องมือ ‘ป้องกันความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์’ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นีล โชปรา แห่งไฟร์บล็อกส์(Fireblocks) กล่าวว่า ‘สถานการณ์ซับซ้อนเช่นนี้เป็นโอกาสที่ดีในการพิสูจน์คุณค่าและความสามารถในการใช้งานของคริปโตในระยะยาว’
ความคิดเห็น 0