อีเธอเรียม(ETH) กำลังเข้าสู่ช่วงวิกฤติครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยกิจกรรมบนเครือข่ายหลักกลับลดลงอย่างต่อเนื่อง และตัวชี้วัดสำคัญบนเครือข่ายก็ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบหลายปี ความรุนแรงของสถานการณ์ถึงขั้นที่ วีทาลิก บูเทริน(Vitalik Buterin) ผู้ร่วมก่อตั้ง ต้องเสนอแนวทาง ‘ปรับโครงสร้างเครือข่ายครั้งใหญ่’ เพื่อพลิกฟื้นระบบ
แนวโน้มดังกล่าวเริ่มส่งแรงกระเพื่อมไปถึงนักลงทุนสถาบัน โดยจากข้อมูลออนไชน์ล่าสุด พบว่าแม้แต่กลุ่มที่ถือครองระยะยาว เช่น กาแล็กซี ดิจิทัล(Galaxy Digital) และ แพราไดม์(Paradigm) ก็เริ่มเทขายอีเธอเรียมออกจากพอร์ตในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ตัวอย่างชัดเจนคือ กาแล็กซี ดิจิทัล ได้โอนอีเธอเรียม 65,600 ETH มูลค่าราว 1,540 พันล้านวอน ไปยังไบแนนซ์(สัดส่วนกว่า 9.8 หมื่น ETH เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ เหลือลงมาเพียง 6.8 หมื่น ETH ในปัจจุบัน)
ในเดือนเมษายน สถานการณ์ของเครือข่ายอีเธอเรียมยังดำดิ่งต่อเนื่อง ค่าธรรมเนียมธุรกรรมอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี ขณะที่กลไก Deflation ที่เคยสัมพันธ์กับการสเตคู่กิ้ง กลับหันมาเกิดภาวะ ‘เงินเฟ้อ’ แทน แม้เลเยอร์ 2 ของอีเธอเรียมจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ *ความคิดเห็น* คือ การเติบโตเช่นนี้กลับกัดกินศักยภาพการสร้างมูลค่าของเลเยอร์หลักมากกว่า
อย่างไรก็ตาม อีเธอเรียมยังไม่ได้ถูกเมินอย่างสิ้นเชิง นักลงทุนรายใหญ่บางรายยังมองเห็นโอกาสจากช่วงปรับฐานนี้ และแม้แต่ผู้ที่ขาย ETH ไปแล้วก็ยังจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ไม่ได้ถอนตัวออกจากตลาดอย่างถาวร
แม้ว่าสถาบันจะลดการถือครอง ETH แต่ส่วนหนึ่งอาจเป็นสัญญาณของการ ‘พักก่อนกลับมา’ มากกว่าการเทขายถาวร อีกทั้ง ความสนใจต่อโซลานา(SOL) และโปรเจกต์อื่นๆ อาจเพิ่มขึ้น แต่ความหวังต่อการปฏิรูปเครือข่ายอีเธอเรียมยังคงอยู่ ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า หากตัวเลขกิจกรรมบนเครือข่ายเข้าสู่จุดต่ำสุด อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นตัว และการปรับสถาปัตยกรรมใหม่อาจเป็นตัวจุดประกายความเชื่อมั่นของตลาดอีกครั้ง
ความคิดเห็น 0