โครงการ ‘โซเลเยอร์(Solayer)’ ซึ่งเปิดตัวในช่วงไตรมาสแรกของปี 2024 และดำเนินงานอยู่ภายใต้ระบบนิเวศของโซลานา(SOL) กำลังได้รับความสนใจอย่างมากจากชุมชนคริปโต หลังจากที่บริษัทวิจัยบล็อกเชนระดับโลกอย่าง เจเพลย์ แล็บส์(Jayplay Labs) เผยแพร่รายงานฉบับใหม่ ระบุว่าเทคโนโลยีหลักของโครงการนี้ที่ชื่อว่า ‘InfiniSVM’ อาจมีบทบาทสำคัญในการรองรับการใช้งานขนาดใหญ่แบบเรียลไทม์บนบล็อกเชน นับเป็นความก้าวหน้าใหม่ที่สามารถแก้ไขปัญหาคอขวดของเครือข่ายที่เคยเกิดขึ้นบนโซลานา
ตามรายงานของ เจเพลย์ แล็บส์ เมื่อวันที่ 24 เทคโนโลยี InfiniSVM ผสานการใช้งานฮาร์ดแวร์พิเศษเข้ากับระบบเครือข่ายที่กำหนดโดยซอฟต์แวร์ (SDN) และเทคโนโลยีการเข้าถึงหน่วยความจำระยะไกลแบบ RDMA ส่งผลให้ระบบสามารถประมวลผลได้สูงถึง 1 ล้านธุรกรรมต่อวินาที (TPS) พร้อมแบนด์วิดท์ 100Gbps ขึ้นไป นี่ถือเป็นหนึ่งในความพยายามแรกของระบบ L1 ที่สามารถผลักดันขีดจำกัดด้านประสิทธิภาพของบล็อกเชนผ่านการเร่งความเร็วด้วยฮาร์ดแวร์
InfiniSVM ถูกยกให้เป็นเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับการใช้งานในภาคการเงินแบบไร้ศูนย์กลาง (DeFi) อย่างยิ่ง ด้วยความหน่วงเวลาที่ต่ำกว่า 1 มิลลิวินาที การประมวลผลธุรกรรมจำนวนมากในเวลาเดียวกันจึงสามารถทำได้อย่างราบรื่น โดยเฉพาะในแอปพลิเคชันที่ต้องการความเร็วสูง เช่น การเก็งกำไร, การจัดหาสภาพคล่อง และระบบการชำระบัญชีอัตโนมัติ ซึ่งสามารถลดการพึ่งพาการประมวลผลแบบออฟเชนของ DEX ได้อย่างชัดเจน ความคิดเห็นจากรายงานยังระบุด้วยว่า DEX ประเภท AMM จะสามารถลดโอกาสถูก ‘ฟรอนต์รัน’ และลด ‘สลิปเพจ’ ได้ด้วยเทคโนโลยีนี้
นอกจาก DeFi แล้ว InfiniSVM ยังแสดงศักยภาพชัดเจนในด้านเกมและ NFT โดยรายงานชี้ว่าเกมบนเชนที่มีผู้เล่นหลายพันคนพร้อมกัน รวมถึงฟีเจอร์อย่างการแจกจ่าย NFT จำนวนมากหรือการให้รางวัลแบบเรียลไทม์ ล้วนแต่ต้องการระบบที่มีความเร็วและเสถียรภาพสูง ซึ่ง InfiniSVM สามารถรองรับได้แบบไม่มีปัญหา รายงานยังยกตัวอย่างว่าแม้แต่เกมสไตล์ MMORPG อย่าง ‘Diablo’ ก็สามารถนำระบบนี้ไปใช้เพื่อให้เกิดการต่อสู้และการจัดการไอเทมแบบเรียลไทม์บนเครือข่ายได้
ด้านการโยกย้ายสินทรัพย์ข้ามเครือข่าย (Cross-chain) InfiniSVM ยังรองรับการถ่ายโอนระหว่างบล็อกเชนต่าง ๆ อาทิ อีเธอเรียม(ETH), ไบแนนซ์เชน และโซลานา ด้วยการเชื่อมต่อผ่าน SmartNIC และเทคโนโลยี InfiniBand ที่ช่วยให้สามารถย้ายสินทรัพย์ภายในไม่กี่วินาที ที่สำคัญคือเทคโนโลยี OAuth ในตัวเอง ยังช่วยให้ใช้งานกระเป๋าสตางค์ง่ายขึ้น ลดภาระในการตั้งค่า โดยเฉพาะสำหรับผู้ใช้หน้าใหม่
อีกหนึ่งจุดเด่นของ InfiniSVM คือความสามารถในการทำ ‘ชาร์ดดิ้ง’ บนแอปพลิเคชันที่มีผู้ใช้จำนวนมากอย่างโซเชียลมีเดียหรือแพลตฟอร์มด้านคอนเทนต์ ความสามารถในการกระจายภาระของเซิร์ฟเวอร์ ทำให้สามารถรองรับผู้ใช้พร้อมกันนับล้านคนที่ต้องการอัปโหลดโพสต์หรือรับรางวัลจากโทเคนได้แบบไหลลื่น ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาแพลตฟอร์มแบบไร้ศูนย์กลางที่มีประโยชน์ในชีวิตจริงและประสบการณ์ใช้งานที่ยอดเยี่ยม
InfiniSVM ยังได้รับการออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่าย ทั้งสำหรับนักพัฒนาและผู้ใช้งานทั่วไป โดยฟีเจอร์อย่าง Hooks สำหรับการสั่งงานอัตโนมัติหลังจากการทำธุรกรรม, ระบบ Jumbo Transactions และโมดูลข้ามเชนแบบ Plug-and-Play ล้วนช่วยลดความซับซ้อนในการพัฒนา ขณะเดียวกันผู้ใช้ปลายทางจะได้รับประสบการณ์ที่ราบรื่นจากระบบ OAuth และค่าธรรมเนียมที่ต่ำ
รายงานสรุปว่าเทคโนโลยีนี้จะมีบทบาทโดดเด่นในทุกสภาพแวดล้อมที่ต้องการความเร็วสูง การทำงานแบบขนานจำนวนมาก และการสื่อสารข้ามเชนในเวลาจริง โดยที่อีกสองผลิตภัณฑ์ของโซเลเยอร์อย่าง sSOL และ sUSD ซึ่งเป็นโทเคนแปรผันภายในระบบ ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการบริหารจัดการสินทรัพย์และผลตอบแทนที่มากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้อาจนำไปสู่การยกระดับระบบนิเวศของโซลานาอย่างมีนัยสำคัญ
โทเคนหลักของโซเลเยอร์คือ LAYER ได้จดทะเบียนซื้อขายทั้งในเกาหลีใต้ผ่านอัพบิตและบิทซัม รวมถึงในตลาดต่างประเทศอย่างไบแนนซ์และบายบิต โดยปริมาณซื้อขายจากตลาดเกาหลีใต้คิดเป็นกว่า 25% ของทั้งหมด แสดงให้เห็นถึงระดับความสนใจที่สูงมากจากนักลงทุนในไทยและเอเชียตะวันออก ขณะนี้อุตสาหกรรมต่างจับตาไปที่ความสามารถในการขยายตัวของเทคโนโลยีนี้ และศักยภาพในการมอบประสบการณ์ใช้งานที่ล้ำหน้ากว่าโครงสร้างเดิมของบล็อกเชนอย่างแท้จริง
ความคิดเห็น 0