โปรเจกต์เซ็นเทียนท์(Sentient) ประสบความสำเร็จในการมินต์ NFT จำนวน 650,000 รายการ
เซ็นเทียนท์(Sentient) ประกาศความสำเร็จในการมินต์ NFT จำนวน 650,000 รายการ เพื่อพัฒนา AI แบบกระจายศูนย์ โดยโทเค็นเหล่านี้ถูกใช้งานในโครงการพัฒนาโมเดล AI ที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน ซึ่งมีชื่อว่า ‘ด็อบบี้(Dobby)’
สำหรับผู้ที่เข้าร่วม ต้องผ่านการทดสอบไอคิวแบบสุ่มเพื่อยืนยันตัวตน นับเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้ AI โปรโตคอลสามารถดำเนินการได้อย่างกระจายศูนย์ มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 650,000 ราย ซึ่งเซ็นเทียนท์คาดหวังว่า การดำเนินการครั้งนี้จะช่วยเร่งพัฒนาโมเดล AI ที่ถูกควบคุมโดยชุมชนได้เร็วขึ้น
ซานดีป เนลวัล(Sandeep Nailwal) ผู้ร่วมก่อตั้งพอลิกอน(Polygon) และผู้มีบทบาทสำคัญในเซ็นเทียนท์ ระบุว่า "AI แบบสามัญ (AGI) ควรอยู่ภายใต้การควบคุมของชุมชน" พร้อมเน้นย้ำความสำคัญของความโปร่งใสและความเท่าเทียมในการพัฒนา AI
ในอีกด้านหนึ่ง เมกาETH(MegaETH) โปรเจกต์เลเยอร์ 2 ของอีเธอเรียม(ETH) ได้เปิดตัว NFT คอลเลกชันใหม่ ‘เดอะ ฟลัฟเฟิล(The Fluffle)’ ซึ่งมีจำนวนทั้งหมด 10,000 รายการ โดย NFT เหล่านี้แสดงถึงสัดส่วนการถือหุ้น 5% ของเครือข่าย เมกาETH ได้ออกแบบ NFT เหล่านี้ให้เป็น ‘โซลบาวด์(Soulbound)’ ซึ่งหมายถึงการไม่สามารถโอนได้ กลยุทธ์นี้มีเป้าหมายเพื่อลดการทำ ‘แอร์ดรอป ฟาร์มมิง’ พร้อมกับลดข้อกำหนด KYC ในขณะที่ยังคงปฏิบัติตามมาตรการต่อต้านการฟอกเงิน(AML)
ขณะเดียวกัน ตลาด NFT อย่างโอเพนซี(OpenSea) ออกแถลงการณ์ปฏิเสธข่าวลือเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิ์ของผู้ใช้งานในบางประเทศ หลังจากที่มีรายงานว่า พบหน้าเว็บบางแห่งของโอเพนซี ซึ่งระบุถึงข้อกำหนด KYC และ AML ส่งผลให้มีความกังวลว่าแพลตฟอร์มอาจจำกัดการเข้าถึงผู้ใช้บางส่วน
อย่างไรก็ตาม เดวิน ฟินเซอร์(Devin Finzer) ซีอีโอของโอเพนซี ได้ออกมาชี้แจงว่า หน้าเว็บที่ถูกพูดถึงนั้นเป็นเพียง ‘หน้าทดสอบ’ พร้อมปฏิเสธข่าวลือนี้อย่างสิ้นเชิง
ในอีกด้านหนึ่ง รีเซอร์วัวร์(Reservoir) ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน NFT ได้รับเงินลงทุนมูลค่า 14 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 203 พันล้านวอน) โดยมีลูกค้ารายสำคัญอย่างคอยน์เบส(Coinbase) และเมตามาสก์(MetaMask) ร่วมอยู่ด้วย เงินลงทุนดังกล่าวจะถูกใช้เพื่อขยายเครือข่ายสนับสนุนการซื้อขาย NFT และเสริมความร่วมมือกับมาร์เก็ตเพลสอื่น ๆ เพิ่มเติม
ความคิดเห็น 0