รัฐบาลลัตเวียเดินหน้าออกกฎหมายใหม่ว่าด้วยการเก็บภาษีคริปโต โดยมีเป้าหมายเพื่อสอดรับกับมาตรฐานด้านภาษีดิจิทัลของสหภาพยุโรป(EU) ภายใต้กรอบกฎระเบียบ DAC8 พร้อมทั้งเสริมสร้างภาพลักษณ์ในการเป็นศูนย์กลางด้านบล็อกเชนของยุโรป กฎหมายใหม่นี้ชี้ชัดถึงความตั้งใจของลัตเวียในการดึงดูดนักลงทุนทั่วโลก และสร้างระบบตรวจสอบภาษีที่โปร่งใสมากยิ่งขึ้น
กฎหมายหมายเลข 24-TA-3148 ที่ผ่านสภาแล้วจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2026 เป็นต้นไป โดยตั้งอยู่บนรากฐานของระบบรายงานคริปโตที่จัดทำโดยองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ(OECD) และกรอบ DAC8 ของสหภาพยุโรป ซึ่งกำหนดให้ผู้ให้บริการที่เกี่ยวข้องกับคริปโต จำเป็นต้องรายงานข้อมูลต่อหน่วยงานภาษีในประเทศ ข้อมูลดังกล่าวครอบคลุมตั้งแต่ธุรกรรมแลกเปลี่ยนคริปโต, การถือครองทรัพย์สินดิจิทัล ไปจนถึงการใช้เงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง(CBDC) โดย ‘คำ’ สำคัญในกฎหมายฉบับนี้คือ การจัดเก็บข้อมูลแบบเรียลไทม์เพื่อตัดโอกาสการหลีกเลี่ยงภาษี
DAC8 หรือชื่อเต็มว่า ‘แนวทางความร่วมมือด้านภาษีฉบับที่ 8’ เป็นกฎของอียูที่ขยายขอบเขตรายงานภาษีให้ครอบคลุมผู้ประกอบการในวงการคริปโต โดยต้องส่งข้อมูลธุรกรรม และยอดคงเหลือให้แก่หน่วยงานท้องถิ่น กฎหมายฉบับนี้ยังรวมถึงแผนการเชื่อมโยงข้อมูลด้วยระบบอัตโนมัติตามข้อตกลง MCAA เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างประเทศได้ราบรื่นยิ่งขึ้น
ผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายอาจต้องรับโทษปรับสูงสุดถึง 14,000 ยูโร หรือประมาณ 2.23 ล้านบาท อีกทั้งยังมีการนิยามคำว่า ‘คริปโตที่ต้องรายงาน’ และ ‘การแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล (Swap)’ อย่างชัดเจน เพื่อลดความคลุมเครือจากกฎเก่าที่อาจเปิดช่องให้หลีกเลี่ยงความรับผิดชอบทางภาษีได้โดยผิดเจตนา สำหรับประเทศสมาชิก EU ทั้งหมด ต้องเร่งออกกฎหมายภายในประเทศให้สอดรับกับ DAC8 ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2025 ซึ่งลัตเวียถือเป็นชาติแรก ๆ ที่ขยับก่อน
จากข้อมูลของกระทรวงเศรษฐกิจลัตเวีย ปัจจุบันมีบริษัทบล็อกเชนเกิดใหม่กว่า 20 รายเปิดดำเนินงานในประเทศ รวมถึงบริษัทชื่อดังระดับโลกอย่าง เพย์บิส(Paybis) ที่ให้บริการคริปโตอย่างจริงจังในพื้นที่ดังกล่าว สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า บรรยากาศของอุตสาหกรรมคริปโตและเทคโนโลยีเว็บ3.0 ในลัตเวียกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง
‘ความคิดเห็น’ จากวงการระบุว่า การออกกฎนี้ไม่ใช่แค่เพื่อเก็บภาษีเท่านั้น แต่เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ระยะยาวในการสร้างระบบนิเวศน์ด้านเทคโนโลยีที่ยั่งยืน พร้อมกับลดความไม่แน่นอนทางกฎหมายสำหรับนักลงทุน ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจดิจิทัลทั่วทั้งสหภาพยุโรปในที่สุด
ความคิดเห็น 0