Back to top
  • 공유 แชร์
  • 인쇄 พิมพ์
  • 글자크기 ขนาดตัวอักษร
ลิงก์ถูกคัดลอกแล้ว

บิตคอยน์(BTC) และ S&P500 พุ่งพร้อมกัน สะท้อนวิกฤตศรัทธาต่อดอลลาร์สหรัฐ

บิตคอยน์(BTC) และดัชนี S&P500 ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ กำลังเคลื่อนไหวในทิศทางที่ใกล้เคียงกันอย่างน่าสนใจ ส่งผลให้เริ่มมีการประเมินว่า คริปโตเคอร์เรนซีอาจก้าวขึ้นมาอยู่ในกลุ่ม ‘สินทรัพย์เสี่ยงแบบดั้งเดิม’ แล้ว อย่างไรก็ตาม มีหลายฝ่ายมองว่า การวิเคราะห์เช่นนี้เป็นเพียงการมองจาก ‘ผิวเผิน’ โดยละเลยปัจจัยเชิงลึกทางจิตวิทยาของตลาด ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าการเคลื่อนไหวในเชิงเทคนิค

แก่นของประเด็นอยู่ที่ความเชื่อมั่นที่ถดถอยในสกุลเงินที่เป็นฐานของการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ นั่นคือ ‘ดอลลาร์สหรัฐ’ ทุกธุรกรรมล้วนประกอบด้วย ‘ตัวเศษ’ ที่เป็นสินทรัพย์ และ ‘ตัวส่วน’ ที่เป็นสกุลเงิน หากความเชื่อมั่นใน ‘ตัวส่วน’ สั่นคลอน ผลที่ได้คือ ราคาของสินทรัพย์ทุกประเภท—รวมถึงบิตคอยน์—จะปรับตัวขึ้นพร้อมกัน ไม่ใช่เพราะนักลงทุนหันมาชอบสินทรัพย์เสี่ยง แต่เป็นเพราะไม่เชื่อมั่นในค่าเงินที่ใช้ประเมินมูลค่าสินทรัพย์เหล่านี้อีกต่อไป

เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา หลังจากที่ทำเนียบขาวประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากเอเชีย ตลาดบิตคอยน์และฟิวเจอร์สหุ้นดิ่งลงทันที แต่ก็สามารถฟื้นตัวเกือบพร้อมกันในเวลาไม่นาน แสดงให้เห็นถึง ‘ความคลางแคลงใจต่อฐานของระบบการเงิน’ มากกว่าแค่การเคลื่อนไหวของสินทรัพย์เสี่ยง

ค่า ‘สหสัมพันธ์ 30 วัน’ ระหว่างบิตคอยน์กับ S&P500 พุ่งขึ้นสูงเกิน 0.4 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2020 ขณะที่ดัชนีดอลลาร์ (DXY) ปรับลดลงแตะจุดต่ำสุดในรอบ 12 เดือนในช่วงเดียวกัน สะท้อนว่าตลาดกำลังใช้กลยุทธ์ ‘เฮดจิ้ง’ ต่อความไม่แน่นอนของ ‘แกนดอลลาร์’ อย่างเป็นระบบ สังเกตได้จากหลายห้องค้าในสถาบัน เมื่อ DXY ร่วง 0.5 จุดในวันเดียว ระบบเทรดแบบอัลกอริทึมในกองทุนเฮดจ์ฟันด์ก็พร้อมเข้าซื้อบิตคอยน์และ ETF อิงดัชนีทันที

แม้อัตราเงินเฟ้อหลักในสหรัฐฯ จะลดลงจากระดับกว่า 9% ในปี 2022 เหลือราว 3% ในปัจจุบัน แต่ราคาสินค้าบริการและการขาดดุลงบประมาณที่ยังคงสูง ส่งผลให้ ‘อัตราดอกเบี้ยจริงคาดหวัง’ อ่อนแอลงเรื่อย ๆ ปัจจุบันนักลงทุนไม่ได้ตั้งคำถามว่า ธนาคารกลางสหรัฐ(Fed) จะ ‘ยอมรับเงินเฟ้อหรือไม่’ แต่กำลังสงสัยว่า ‘จะยอมรับได้มากแค่ไหน’

ในเดือนธันวาคม 2024 เมื่อ Fed ลดดอกเบี้ยถึง 50 จุดพื้นฐานแบบไม่ทันตั้งตัว ทำให้ความคาดหวังเงินเฟ้อพุ่งแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2011 บิตคอยน์ตอบสนองทันควัน โดยทะลุระดับ 70,000 ดอลลาร์ภายในเวลาไม่กี่วัน ขณะที่ S&P500 ทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้ง นี่คือตัวอย่างชัดเจนของ ‘ภาวะหลีกเลี่ยงเงินสด’ ที่ส่งผลให้สินทรัพย์ทุกประเภทปรับขึ้นพร้อมกัน

อีกผลกระทบสำคัญมาจากปัจจัยนอกประเทศ กลุ่มบริกส์ (BRICS) เร่งเพิ่มสัดส่วนการค้าระหว่างประเทศด้วยเงินสกุลท้องถิ่น และทดลองออกสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC) ขณะที่ธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) ได้ถอนตัวจากโครงการเหล่านี้เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากมาตรการคว่ำบาตร ในปีที่ผ่านมา ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองคำถึง 1,045 ตัน ซึ่งมากที่สุดนับตั้งแต่ทศวรรษ 1960 และลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ หลายประเทศ ตั้งแต่สิงคโปร์ถึงอาร์เจนตินา เริ่มอนุญาตให้ใช้บิตคอยน์อย่างจำกัด สะท้อนว่า ‘ทุนรัฐ’ กำลังทยอยนำบิตคอยน์เข้าพอร์ตในลักษณะ ‘ทดลอง’

ในตลาดสหรัฐฯ แม้แต่หุ้นยังถูกตีความเป็น ‘สินทรัพย์ดิจิทัลแบบมีความจำกัด’ กลุ่มเทคโนโลยีเคยถูกมองว่าเป็นเป้าหมายของเงินร้อน แต่เมื่อสกุลเงินเสื่อมค่าลง สินทรัพย์ที่มีศักยภาพสร้างผลตอบแทนก็ได้รับการยอมรับในฐานะของ ‘ความหายาก’ ด้วยเช่นกัน อัตราส่วนราคาต่อรายได้ของ S&P500 พุ่งขึ้นสู่ระดับที่เคยเกิดขึ้นในปลายทศวรรษ 1990 ซึ่งเป็นช่วงที่มีความกังวลเรื่องเงินเฟ้ออย่างหนัก ในเดือนเมษายน ความผันผวนของบิตคอยน์ต่ำกว่าดัชนีแนสแด็ก(Nasdaq) เป็นครั้งแรก สะท้อนถึงโครงสร้างผู้ถือครองที่มีความมั่นคงมากขึ้น และศักยภาพในการเป็นเครื่องมือ ‘รักษามูลค่า’

สถานการณ์นี้ไม่ได้เป็นแค่การเคลื่อนไหวที่บังเอิญ แต่เป็นผลมาจาก ‘วิกฤตความเชื่อมั่นในระบบการเงิน’ โดยในช่วงวิกฤตธนาคารภูมิภาคของสหรัฐฯ เมื่อปีก่อน บิตคอยน์กลับ ‘แยกทาง’ กับ S&P500 และปรับขึ้นมากกว่า 20% แต่จากต้นปีนี้เป็นต้นมา ความไม่ไว้ใจในระบบเงินเริ่มควบคุมตลาดอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้บิตคอยน์และหุ้นเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันมากขึ้น หากเทรนด์นี้ดำเนินต่อไป เราอาจเห็นปรากฏการณ์ลักษณะเดียวกันในตลาดทรัพย์สินหายาก เช่น งานศิลปะหรือไวน์ระดับพรีเมียม

ปัจจุบัน หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ พุ่งเกิน 36.2 ล้านล้านดอลลาร์ และรัฐบาลใช้เงินจ่ายดอกเบี้ยมากกว่างบกลาโหม สำนักงานงบประมาณรัฐสภา(CBO) คาดว่าขนาดขาดดุลงบประมาณในอนาคตอาจเกิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ นักลงทุนจำนวนมากจึงเริ่มคาดการณ์ถึงการกลับมาของนโยบายผ่อนคลายทางการเงิน และเริ่มหันไปหาสินทรัพย์ที่ผลิตเพิ่มไม่ได้หรือ ‘สินทรัพย์หายาก’

การพุ่งขึ้นพร้อมกันของราคาบิตคอยน์และ S&P500 จึงไม่ใช่แค่ ‘ความเคลื่อนไหวร่วมเชิงเทคนิค’ แต่เป็น ‘มาตรการฉุกเฉิน’ ของนักลงทุนในการปกป้องอำนาจซื้อ ไม่ใช่เพราะสองสินทรัพย์นี้เหมือนกัน แต่เป็นเพราะสิ่งที่พวกเขาพึ่งพา—ระบบเงินของสหรัฐฯ—กำลังสั่นคลอนอย่างหนัก และเว้นแต่ว่า ‘วอชิงตัน’ จะสามารถฟื้นความน่าเชื่อถือในนโยบายการเงินและงบประมาณได้ สถานการณ์นี้ยากที่จะเปลี่ยนทิศ

‘ตลาดไม่รอให้มีนโยบายที่สมบูรณ์แบบ’ เป็นสุภาษิตที่ยังใช้ได้เสมอ ขณะนี้ นักลงทุนกำลังไหลเข้าสู่สินทรัพย์ที่มี ‘ความหายากในตัวเอง’ และบิตคอยน์คือหนึ่งในนั้น พิสูจน์ว่าตนยังยืนอยู่บนอัตลักษณ์เดิม ขณะเดียวกันก็อาจเป็นตัวช่วยเพิ่ม ‘ประกายแห่งความหายาก’ ให้ตลาดหุ้นในยุคที่ดอลลาร์ไม่ใช่ฐานที่มั่นคงอีกต่อไป

<ลิขสิทธิ์ ⓒ TokenPost ห้ามเผยแพร่หรือแจกจ่ายซ้ำโดยไม่ได้รับอนุญาต>

บทความที่มีคนดูมากที่สุด

บทความที่เกี่ยวข้อง

ความคิดเห็น 0

ข้อแนะนำสำหรับความคิดเห็น

ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ ต้องการบทความติดตามเพิ่มเติม เป็นการวิเคราะห์ที่ยอดเยี่ยม

0/1000

ข้อแนะนำสำหรับความคิดเห็น

ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ ต้องการบทความติดตามเพิ่มเติม เป็นการวิเคราะห์ที่ยอดเยี่ยม
1