ตำรวจออสเตรเลียเดินหน้าเปิดปฏิบัติการเชิงรุก ปราบปรามการใช้ตู้เอทีเอ็มคริปโตเคอร์เรนซีในกิจกรรมผิดกฎหมาย ล่าสุดมีรายงานว่ามีชาวออสเตรเลียราว 90 คนถูกสอบสวน โดยในกลุ่มผู้ต้องสงสัยประกอบด้วยทั้ง *เหยื่อและผู้ก่อเหตุในคดีฉ้อโกงแบบ “Pig Butchering” รวมถึงผู้เกี่ยวข้องกับการลักลอบขนยาเสพติดและการฟอกเงิน* สร้างความตกตะลึงไปทั่วประเทศ
ตามข้อมูลจากศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลการเงินของออสเตรเลีย (AUSTRAC) เปิดเผยว่า หนึ่งในผู้เสียหายคือหญิงม่ายวัย 77 ปี ซึ่งสูญเงินไปกว่า 433,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 11 ล้านบาท) จากการถูกหลอกผ่านเว็บไซต์หาคู่ โดยเธอเชื่อว่าคบหากับชายชาวเบลเยียมที่รู้จักกันทางออนไลน์มาเป็นเวลากว่า 2 ปี กระทั่งตำรวจเข้ามาแจ้งความจริงให้เธอทราบตามรายงานของสถานีโทรทัศน์ ABC เมื่อวันที่ 24
คนร้ายรายนี้ได้สร้างความเชื่อใจด้วยการสานสัมพันธ์ผ่านแอปหาคู่ จากนั้นจึงหลอกให้ลงทุนใน *บิตคอยน์(BTC)* พร้อมแสดงเอกสารปลอมเกี่ยวกับผลตอบแทนจำนวนมากเพื่อโน้มน้าวให้หญิงรายนี้โอนเงิน โดยหนึ่งในเอกสารดังกล่าวระบุว่ามีกำไรมากถึง 13,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 1.15 ล้านบาท) ภายในเวลาเพียงสัปดาห์เดียว หญิงผู้เสียหายเล่าว่า “ฉันเคยยืนรอตู้เอทีเอ็มคริปโตครึ่งวันเพียงเพื่อจะโอนเงินให้เขา”
สำนักงานตำรวจกลางออสเตรเลียเตือนว่า *กลโกงลักษณะนี้กำลังพัฒนาความซับซ้อนขึ้นอย่างต่อเนื่อง* โดยมิจฉาชีพมักใช้เอกสารที่ดูเหมือนรายงานผลตอบแทนจริงมาหลอกลวง พร้อมอาศัยตู้เอทีเอ็มคริปโตเป็นช่องทางในการเคลื่อนย้ายเงินออกนอกประเทศ อีกทั้งยังกล่าวเสริมว่า แม้บุคคลจะไม่มีส่วนร่วมกับการก่อเหตุโดยตรง ก็ยังอาจกลายเป็น *“ผู้ขนเงิน (money mule)”* โดยไม่รู้ตัวหากอยู่ในเส้นทางการเงิน
การกวาดล้างในครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามจากรัฐบาลออสเตรเลียในการควบคุม *การใช้คริปโตเคอร์เรนซีในกิจกรรมผิดกฎหมาย* อย่างจริงจัง นักวิเคราะห์ชี้ว่าภัยคุกคามเหล่านี้ไม่ใช่แค่การสูญเสียทางการเงิน แต่ยังหมายถึงการบงการความเชื่อและพฤติกรรมของปัจเจกชน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการมีระบบรับมืออย่างมียุทธศาสตร์มากขึ้น ความคิดเห็น: การใช้ตู้เอทีเอ็มคริปโตอย่างไม่ระมัดระวังอาจกลายเป็นช่องทางหลักให้แก่ผู้กระทำผิด และสังคมควรตระหนักถึงความเสี่ยงที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีการเงินยุคใหม่
ความคิดเห็น 0