Back to top
  • 공유 แชร์
  • 인쇄 พิมพ์
  • 글자크기 ขนาดตัวอักษร
ลิงก์ถูกคัดลอกแล้ว

DeAI จุดประกายยุคเรอเนสซองส์ใหม่แห่งปัญญาประดิษฐ์ กระจายอำนาจสู่มือประชาชน

เหมือนกับการที่แท่นพิมพ์ของกูเทนแบร์กในยุคกลางของยุโรปได้ปลดล็อกการผูกขาดความรู้จากชนชั้นสูงและเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงการรู้หนังสือ โลกในปัจจุบันก็อาจกำลังเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงในระดับเดียวกันผ่าน ‘ปัญญาประดิษฐ์แบบไร้ศูนย์กลาง (DeAI)’ ที่กำลังพลิกโฉมระบบ AI แบบดั้งเดิม พร้อมนิยามใหม่เกี่ยวกับการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์จาก ‘สติปัญญา’ ในโลกยุคดิจิทัล เดิมระบบ AI อยู่ใต้การควบคุมของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่เพียงไม่กี่ราย แต่ในยุคของ DeAI โมเดลรวมศูนย์กำลังสูญเสียอิทธิพลไปทีละน้อย

ระบบ AI แบบปิดส่วนใหญ่นั้นมีข้อจำกัดอย่างชัดเจน โดยโครงสร้างจะไม่เปิดเผยข้อมูลน้ำหนักโมเดล อัลกอริทึม หรือข้อมูลดิบ ทำให้การใช้งานและทิศทางของ AI ถูกกำหนดโดยเพียงไม่กี่บริษัทที่ควบคุมการเข้าถึงผ่าน API ในทางตรงกันข้าม DeAI มุ่งเน้นสู่กระบวนการที่ไร้ศูนย์กลางอย่างแท้จริง ทั้งในการสร้าง แบ่งปัน และควบคุมปัญญาประดิษฐ์อย่างโปร่งใสและมีอิสระ

ข้อบกพร่องของระบบแบบปิดไม่ได้เป็นเพียงข้อจำกัดในการเข้าถึง แต่ยังนำไปสู่ความลำเอียงในผลลัพธ์ ขาดความโปร่งใส และบางครั้งก็ก่อให้เกิดการใช้งานที่ผิดพลาด เช่น การระบุตัวผู้กระทำผิดอย่างผิดพลาดในระบบยุติธรรม ความล้มเหลวเช่นนี้มักมีสาเหตุมาจากการผูกขาดสิทธิ์ในการออกแบบและเลือกชุดข้อมูลของหน่วยงานกลาง ตัวอย่างเช่น องค์กรโอเพนเอไอ(OpenAI) เคยประกาศในปี 2025 ว่าจะละทิ้งภารกิจเชิงพาณิชย์เพื่อเปลี่ยนมาเป็นมูลนิธิเพื่อสาธารณประโยชน์ ซึ่งแม้จะเป็นการเสนอแนวทางเชิงจริยธรรม แต่นักวิจารณ์หลายฝ่ายยังคงตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความต่อเนื่องของแนวนโยบายนี้ภายใต้โครงสร้างบริษัท

DeAI สะท้อนแนวคิดประโยชน์สาธารณะผ่านการออกแบบตั้งแต่ต้น ผู้พัฒนาสามารถเรียกใช้โมเดลในระบบโลคัล ปรับแต่งด้วยข้อมูลเฉพาะท้องถิ่น และพัฒนาแอปพลิเคชันโดยไม่ต้องผ่านการอนุมัติจากองค์กรใด อินเดียมีกรณีที่เกษตรกรใช้ผู้ช่วยเสียงเฉพาะถิ่นเพื่อวางแผนการเพาะปลูก ขณะที่ซิเอร์ราลีโอน ครูใช้แชตบอตผ่านแอปส่งข้อความที่ใช้ข้อมูลน้อยเพื่อจัดหาเนื้อหาการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ อีกด้านหนึ่ง ชาวชนบทในกัวเตมาลาสามารถตรวจติดตามสุขภาพครรภ์ได้ผ่านแอป AI บนสมาร์ตโฟน แม้ไม่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เหล่านี้คือภาพสะท้อนว่า DeAI ทำให้ผู้ถูกทอดทิ้งกลายมาเป็น ‘ผู้แก้ไขปัญหาด้วยตนเอง’

อุปสรรคในการเข้าถึงเครื่องมือ AI ถูกลดทอนลงอย่างมาก ผู้ที่ไม่ใช่นักพัฒนาสามารถเรียนรู้การสร้าง Agent จากเพียงแค่บทแนะนำ ส่วนผู้ใช้ระดับสูงก็สามารถใช้เครื่องมือที่กำหนดเองเชิงโค้ดหรือแบบภาพ (Visual Tool) ในระดับลึกได้ง่ายยิ่งขึ้น บริษัทหลายแห่งเริ่มใช้โมเดลขนาดเล็กสำหรับการปรับปรุงโลจิสติกส์ และนำโมเดลแบบเปิดไปปรับใช้ในระบบภายใน ด้าน DappRadar ผู้วิเคราะห์วงการดิจิทัล แอประบุว่า สัดส่วนของแอปพลิเคชันแบบไร้ศูนย์กลางในกลุ่ม DeAI นั้นมีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็ว จนเริ่มคุกคามตลาดเดิมอย่างดีไฟ(DeFi) และเกม

ด้านความกังวล DeAI ก็เผชิญข้อท้วงติงเรื่องหลักความสอดคล้องของข้อมูลและโอกาสที่ข้อมูลผิดจะเผยแพร่ ซึ่งเป็นคำวิจารณ์ที่คล้ายกับยุคแรกของเครื่องพิมพ์เช่นกัน ที่มีความกังวลว่าเอกสารที่ไม่ได้รับการตรวจสอบจะก่อให้เกิดความสับสน ในที่สุด ความสามารถในการอ่านออกเขียนได้ระดับมวลชนก็กลายเป็นรากฐานของความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ DeAI ก็เช่นกัน การมีแนวทางมาตรฐานและหลักจริยธรรมที่ชัดเจนจากชุมชน สามารถรักษาคุณธรรมในการใช้เทคโนโลยีนี้ได้

แต่ในตอนนี้ วงการ AI ก็กำลังเผชิญหน้ากับการต่อสู้ทางอุดมการณ์ ดาริโอ อาโมเดย์(Dario Amodei) ซีอีโอของแอนโทรปิก(Anthropic) สนับสนุนระบบรวมศูนย์ว่าเป็นวิธีที่ปลอดภัยและมีความรับผิดชอบต่อสังคม โดยเน้นการควบคุมอย่างเข้มแข็งต่อ AGI ในขณะที่ เบน แกร์เซล(Ben Goertzel) ผู้ก่อตั้งซิงกูล래ริตีเน็ต(SingularityNET) เชื่อมั่นในการกระจายศูนย์เพื่อส่งเสริมความหลากหลายใน AI และผลักดันให้เทคโนโลยีมีความสามารถในการปรับตัวตามบริบทท้องถิ่น มุมมองที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงนี้ ไม่เพียงแต่สะท้อนเส้นทางทางเทคโนโลยีในอนาคต ยังส่งอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายและโครงสร้างตลาดของแต่ละประเทศด้วย

ในเวลานี้ คำถามที่สำคัญคือ ‘ใครเป็นเจ้าของความฉลาด’ และ ‘ใครเป็นผู้ใช้เครื่องมือแห่งอนาคตนี้’ แนวโน้มที่นักพัฒนาหันมาเลือกแพลตฟอร์มแบบเปิดแทนระบบ API แบบปิดกำลังชัดเจนขึ้น ในหลายประเทศ หน่วยงานรัฐเริ่มลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สะท้อนอธิปไตยของชาติ ตลอดจนชุมชนท้องถิ่นที่เริ่มสร้างโมเดลของตนเองโดยไม่มีอิทธิพลจากกลุ่มเทคยักษ์ใหญ่ AI กำลังแปรเปลี่ยนจาก ‘เครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อโลก’ สู่ ‘เครื่องมือที่โลกทั้งใบมีส่วนช่วยกันพัฒนา’

ถ้าเรานิยามยุคแรกของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา(เรอเนสซองส์)ว่าเป็นช่วงเวลาที่ขยายสิทธิในการอ่าน เขียนให้กับประชาชน ยุคเรอเนสซองส์ครั้งใหม่นี้คือการกระจาย ‘ความสามารถในการคิด คำนวณ และสร้างสรรค์’ ให้กับชุมชนทั่วโลก ทางเลือกของ AI ในวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับพวกเราทุกคน การลงทุนในโครงสร้างไร้ศูนย์กลาง การสนับสนุนโครงการที่ตอบสนองต่อท้องถิ่น และการเปิดเครื่องมือ AI ให้ใครก็สามารถมีส่วนร่วมได้นั้นคือจุดเริ่มต้นของการสร้าง AI ที่เป็นของทุกคนอย่างแท้จริง

<ลิขสิทธิ์ ⓒ TokenPost ห้ามเผยแพร่หรือแจกจ่ายซ้ำโดยไม่ได้รับอนุญาต>

บทความที่มีคนดูมากที่สุด

ความคิดเห็น 0

ข้อแนะนำสำหรับความคิดเห็น

ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ ต้องการบทความติดตามเพิ่มเติม เป็นการวิเคราะห์ที่ยอดเยี่ยม

0/1000

ข้อแนะนำสำหรับความคิดเห็น

ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ ต้องการบทความติดตามเพิ่มเติม เป็นการวิเคราะห์ที่ยอดเยี่ยม
1