วุฒิสภาสหรัฐฯ มีมติเห็นชอบต่อ *‘One Big Beautiful Bill’* หรือ *‘กฎหมายฉบับใหญ่ที่สวยงาม’* ตามที่ประธานาธิบดีทรัมป์เสนอ ส่งผลให้กระแสการถกเถียงในตลาดคริปโตทวีความเข้มข้น หลังจากรองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์(JD Vance) โยน ‘เสียงชี้ขาด’ ยุติทางตันเสียง 50 ต่อ 50 ส่งแรงสั่นสะเทือนทางจิตวิทยาไปยังนักลงทุนอย่างกว้างขวาง ขณะที่ข้อมูลจากซานติเมนท์(Santiment) ระบุว่ามีการใช้งานคำว่า ‘big’, ‘beautiful’ และ ‘bill’ บนโซเชียลมีเดียพุ่งสูง สะท้อนความเชื่อมโยงที่ตลาดพยายามตีความระหว่างกฎหมายนี้กับสินทรัพย์ดิจิทัล
แม้ร่างกฎหมายดังกล่าวจะไม่ได้กล่าวถึง *คริปโตเคอร์เรนซี* โดยตรง แต่ด้วยเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับ *การลดภาษีครอบคลุม* และมาตรการ *กระตุ้นการบริโภค* ทำให้เกิด ‘*ความคาดหวังทางบวก*’ ในหมู่นักลงทุน โดยเฉพาะการฟื้นฟูมาตรการหักค่าเสื่อมราคาร้อยเปอร์เซ็นต์ทันที (100% bonus depreciation) ที่อาจสร้างแรงจูงใจให้บริษัทต่างๆ เพิ่มการลงทุนในอุตสาหกรรมขุดบิตคอยน์(BTC) ซึ่งอาจนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของค่าแฮชเรตในเครือข่ายบิตคอยน์—a ตัวชี้วัดสำคัญที่เคยเป็นสัญญาณราคาขาขึ้นหลายครั้งในอดีต
ซานติเมนท์ยังวิเคราะห์ว่า หากนโยบายการคลังเชิงผ่อนคลายเริ่มเดินหน้าเต็มรูปแบบ และเกิดการขยายตัวของปริมาณเงิน (M2) อย่างมีนัยสำคัญ ก็มีความเป็นไปได้ที่ราคาของ *สินทรัพย์ดิจิทัล* ทั้งระบบจะเข้าสู่รอบขาขึ้นอีกระลอก
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกฝ่ายที่รู้สึกเชิงบวกต่อกฎหมายฉบับนี้ โดยเฉพาะกรณีที่ร่างแก้ไขที่เสนอโดน *ซินเธีย ลูมิส* (Cynthia Lummis) วุฒิสมาชิกสายคริปโต ซึ่งรวมถึงการปลดภาษีจากการสเตค(Staking), การขุด, และไมโครทรานแซกชัน ยังไม่ถูกบรรจุไว้ในฉบับสุดท้าย ทำให้หลายฝ่ายในอุตสาหกรรมมองว่านี่คือความคืบหน้าเพียงครึ่งเดียว
ไม่เพียงเท่านั้น ความขัดแย้งระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์กับ *อีลอน มัสก์*(Elon Musk) ซีอีโอของเทสลา(TSLA) ก็สั่นคลอนตลาดอีกครั้ง โดยมัสก์ออกโรงตำหนิร่างกฎหมายว่าไม่สนับสนุนพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีขั้นสูง ส่งผลให้ราคาหุ้นเทสลาตกลงตามมา และ ‘*บิทคอยน์*’ ก็อ่อนค่าลงตามไปด้วย สะท้อนความสัมพันธ์ที่ยังคงแน่นแฟ้นระหว่างโลก *คริปโตเคอร์เรนซี* กับเมกะเทรนด์ของบริษัทยักษ์ใหญ่และประเด็นการเมือง
ขณะเดียวกัน ‘*โดชคอยน์(DOGE)*’ ก็กลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง หลังคำพูดในอดีตของมัสก์เกี่ยวกับ “กรมโดช(DOGE Department)” ถูกนำมากล่าวถึงใหม่ในเชิงล้อเลียน แต่กลายเป็นว่าทำให้นักลงทุนบางส่วนเข้าสู่ภาวะอ่อนไหวทางจิตวิทยา เรียกได้ว่า ‘ความผันผวนที่ขับเคลื่อนด้วยอารมณ์’ ในกลุ่ม *มีมคอยน์* ยังเป็นลักษณะเด่นในตลาดยุคนี้
ซานติเมนท์ยังระบุว่า แม้ราคายังไม่แสดงทิศทางชัดเจน แต่ ‘*ความรู้สึกของฝูงชน*’ เริ่มเอียงไปในทาง *มองโลกในแง่ดี* โดยเฉพาะภายใต้กลยุทธ์ ‘ขายเมื่อมีข่าวลือ ซื้อเมื่อมีข่าวจริง’ ซึ่งเป็นหนึ่งในแพตเทิร์นที่มักเกิดขึ้นในสถานการณ์แบบนี้ คำถามสำคัญคือ กฎหมายฉบับนี้จะส่งผลอย่างไรต่อ *กำลังซื้อของผู้บริโภค*, *นโยบายการคลัง*, และ *การอัดฉีดสภาพคล่อง* จากธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นตัวแปรคีย์ที่จะกำหนดทิศทางของตลาด *คริปโตเคอร์เรนซี* ในระยะกลางถึงยาว
แม้จะไม่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลโดยตรง แต่ปรากฏการณ์ ‘One Big Beautiful Bill’ คือหนึ่งในเหตุการณ์ที่สำคัญที่นักลงทุนพยายามจับตาว่าจะส่ง *อานิสงส์ทางอ้อม* อย่างไรต่อระบบนิเวศสินทรัพย์ดิจิทัลในวงกว้าง ในระยะต่อไปความคืบหน้าในสภาผู้แทนราษฎรและรายละเอียดด้านการใช้งบประมาณจะเป็นประเด็นที่นักเทรดใช้เพื่อวาง ‘กลยุทธ์ระยะสั้น’ และ ‘การจัดพอร์ตการลงทุน’ อย่างยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น
ความคิดเห็น 0