อีเธอเรียม(ETH) ร่วงลง 2% ตลอดเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา แม้ไม่สามารถทำผลงานได้ตามคาด แต่ก็มีสัญญาณเชิงบวกหลายด้านที่ส่งเสริมแนวโน้มการฟื้นตัวในเดือนกรกฎาคม โดยมี ‘ความหวัง’ ว่าอีเธอเรียมหากเข้าสู่ช่วงขาขึ้น อาจให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า บิตคอยน์(BTC) แม้จะมีความผันผวนมากกว่าในช่วงขาลงก็ตาม
ตลาดคริปโตในช่วงเดือนมิถุนายนได้รับผลกระทบจากนโยบายดอกเบี้ยของสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอีเธอเรียมซึ่งยังคงติดลบ แม้ว่าจะมีการดีดตัวหลังจากปรับฐานถึง 24% ในช่วงก่อนหน้า ขณะที่ดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯ กลับปรับตัวขึ้นถึง 4.25% ในช่วงเวลาเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม หากมองระยะยาว อีเธอเรียมยังคงมี ‘ศักยภาพในการเติบโต’ อย่างชัดเจน โดยระหว่างเดือนเมษายนจนถึงต้นเดือนมิถุนายน ราคาของอีเธอเรียมพุ่งขึ้นจากระดับ 1,400 ดอลลาร์ ไปถึง 2,800 ดอลลาร์ (ประมาณ 389 ล้านบาท) หรือเพิ่มขึ้นถึง 100% ขณะที่บิตคอยน์ในช่วงเวลาเดียวกันขึ้นประมาณ 46% นอกจากนี้ นักวิเคราะห์หลายแห่งยังคาดว่าบิตคอยน์อาจขึ้นไปถึงระดับ 150,000-200,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 2.08-2.78 ล้านบาท) ภายในครึ่งแรกของปี 2025 ทำให้อีเธอเรียมมีโอกาสเร่งตัวตามในลักษณะ ‘เทรนด์ตามตลาด’
ปัจจัย 4 ประการที่สนับสนุนแนวโน้มบวกของอีเธอเรียม ได้แก่ ระบบเลเยอร์ 2 การลงทุนของสถาบัน การเคลื่อนไหวของนักลงทุนรายใหญ่ และการปรับพอร์ตของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้น
ประการแรกคือ การแข่งขันลดค่าธรรมเนียมในเครือข่ายเลเยอร์ 2 ตั้งแต่มีการอัปเกรด ‘เดนคุน(Dencun)’ เมื่อเดือนมีนาคมปีก่อน ค่าธรรมเนียมบนระบบอีเธอเรียมลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้โปรเจ็กต์อย่าง โพลิกอน(POL), ออปทิสมิซึม(OP) และอาร์บิทรัม(ARB) กลายเป็นกำลังหลักในการขยายเครือข่าย แนวโน้มนี้สะท้อนความแข็งแกร่งของอีเธอเรียม แม้รายได้จากค่าธรรมเนียมในเบสเชน(Base Chain) จะลดจาก 30 ล้านดอลลาร์ เหลือเพียง 5 แสนดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปีนี้ (ประมาณ 6.95 ล้านบาท) แต่จำนวนผู้ใช้งานกลับไม่ลดลง
ปัจจัยที่สองคือ การขยายการลงทุนจากภาคสถาบัน โดยบริษัทเกมอย่างชาร์ปลิงก์เกมมิ่ง ได้เข้าซื้อ ETH มูลค่าประมาณ 30 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 417 ล้านบาท) เมื่อเดือนที่ผ่านมา เพื่อนำมาเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ด้านการเงินคล้ายคลึงกับการลงทุนใน BTC ของบริษัทสแตรทีจีในปี 2020 ซึ่งต่อมาราคาหุ้นของบริษัทก็พุ่งขึ้นเช่นกัน
ด้านที่สามคือ การสะสมเหรียญจาก ‘วาฬคริปโต’ โดยเมื่อวันที่ 22 มิถุนายนที่ผ่านมา มีวาฬรายหนึ่งได้เข้าซื้อ ETH มูลค่าประมาณ 39 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 541 ล้านบาท) การเคลื่อนย้ายเหรียญออกจากตลาดแลกเปลี่ยนมักส่งสัญญาณบวก เพราะช่วยลดอุปทานหมุนเวียนในตลาดและสร้างแรงผลักดันต่อราคา
สุดท้าย บริษัทจดทะเบียนในนิวยอร์กอย่าง บิทดิจิทัล(Bit Digital) ได้ขายบิตคอยน์บางส่วนเพื่อนำเงินมาซื้อ ETH มูลค่าราว 34 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 473 ล้านบาท) พร้อมทั้งปรับพอร์ตตามกลยุทธ์การวางเดิมพันในตลาดสเตกกิ้งของอีเธอเรียมและการขยายตัวของระบบเลเยอร์ 2
จากทั้งหมดนี้ การผสานของปัจจัยเชิงเทคนิค การสนับสนุนจากสถาบัน การเติบโตของระบบนิเวศคริปโต และการเคลื่อนไหวของนักลงทุนรายใหญ่ ล้วนเป็นสัญญาณสนับสนุนว่าอีเธอเรียมอาจพร้อมสำหรับการฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญในเดือนกรกฎาคม ท่ามกลางภาพรวมตลาดที่ขับเคลื่อนโดยบิตคอยน์
ความคิดเห็น 0