รายงานประจำไตรมาสที่ 2 ปี 2025 ของ CoinMarketCap ชี้ให้เห็นว่าแนวโน้มของตลาดคริปโตกำลังเคลื่อนตัวออกจาก ‘มิ้มคอยน์’ และหันกลับมาสู่การลงทุนใน *สินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐาน* อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในหมวดของ *สเตเบิลคอยน์*, สินทรัพย์ในโลกความจริง(RWA) และแพลตฟอร์มอนุพันธ์แบบไร้ศูนย์กลาง *ไฮเปอร์ลิควิด(Hyperliquid)* ที่กำลังแสดงศักยภาพการเติบโตในฐานะแหล่งพลังงานใหม่ของตลาด
ข้อมูลในรายงานเผยว่าสเตเบิลคอยน์มีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 247.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 344.5 ล้านล้านวอน) ณ สิ้นไตรมาส โดย ‘USD1’ คือสเตเบิลคอยน์ที่ทำผลงานได้โดดเด่นที่สุด ด้วยการเพิ่มขึ้นจาก 57 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 2.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3 ล้านล้านวอน) ซึ่งคิดเป็นการเติบโตกว่า 40 เท่า อันมีสาเหตุหลักจากการเข้าจดทะเบียนในไบแนนซ์ และการทุ่มทุน 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย MGX สำหรับผู้นำตลาดอย่าง *เทเธอร์(USDT)* มูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นอีก 14.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ยังคงครองส่วนแบ่งได้เหนียวแน่น ขณะที่ *USDC* และ *PYUSD* ก็มีอัตราเติบโตตามมาด้วยการขยายตัวที่ 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 28.5% ตามลำดับ โดยเฉพาะ USDC ได้รับความสนใจใหม่อีกครั้งเมื่อข่าวการเสนอขายหุ้น IPO ของผู้ออกเหรียญ อย่างบริษัท *เซอร์เคิล(Circle)* ถูกหยิบยกขึ้นมาตีแผ่
ในขณะเดียวกัน หมวด *สินทรัพย์ในโลกความจริง(RWA)* ก็กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว มีการเปิดเผยว่าสินทรัพย์โทเคนไลซ์กว่า 88% ในสิ้นเดือนมิถุนายนกระจุกตัวอยู่ในสองหมวดหลัก ได้แก่ ‘เงินกู้ภาคเอกชน (58%)’ และ ‘พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (30%)’ โดยเงินกู้กว่า 10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สร้างขึ้นส่วนใหญ่จากโปรเจกต์ *Figure* ที่ใช้บล็อกเชน *โพรวิแนนซ์* เป็นหลัก ขณะที่พันธบัตรรัฐบาลที่ถูกโทเคนไลซ์มีมูลค่ารวมประมาณ 7.38 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย *กองทุน BUIDL ของแบล็คร็อก* ครองส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 39% กลายเป็นผู้นำในกลุ่มนี้
อย่างไรก็ตาม การเติบโตที่โดดเด่นที่สุดในไตรมาสนี้กลับมาจาก *ไฮเปอร์ลิควิด(Hyperliquid)* ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มอนุพันธ์แบบไร้ศูนย์กลาง เนื่องจากมียอดซื้อขายสะสมในช่วง 12 เดือนสูงถึง 1.57 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2,184 ล้านล้านวอน) และในไตรมาสเดียวก็มียอดซื้อขายถึง 648 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 902 ล้านล้านวอน) คิดเป็นกว่า 60% ของตลาดซื้อขาย perpetual DEX ทั้งหมด เป็นตัวเลขที่มากกว่าอันดับ 2 ถึง 10 เท่า โดยมีรายได้จากค่าธรรมเนียมเกิน 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
*ความสำเร็จของไฮเปอร์ลิควิดไม่ได้มาจากเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว* แต่ยังมีจุดเด่นที่กลยุทธ์การออกแบบแรงจูงใจและนโยบายสนับสนุน เช่น การแอร์ดรอปโทเคน HYPE, ระบบสะสมแต้ม, อินเตอร์เฟสและ API ที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน, สภาพคล่องสูง และโอกาสทำกำไรจากการทำ arbitrage สิ่งเหล่านี้ทำให้แพลตฟอร์มดึงดูดผู้เทรดระดับมืออาชีพได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมของนักลงทุนชื่อดัง *เจมส์ วินน์(James Wynn)* และนโยบายซื้อคืนและเผาทิ้งโทเคน HYPE ก็ช่วยสร้างเสถียรภาพด้านราคาได้เป็นอย่างดี
ขณะเดียวกัน จำนวนผู้ใช้งานคริปโตในสหรัฐฯ ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลจาก CoinMarketCap ระบุว่าสัดส่วนผู้ใช้งานชาวอเมริกันเพิ่มจาก 18.9% เป็น 21.7% ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาสที่มีการขยายตัวขึ้น "ความคิดเห็น" ของผู้เชี่ยวชาญมองว่านี่เป็นผลจากการอนุมัติ ETF, การชัดเจนของกฎระเบียบ และการเตรียม IPO ของบริษัทในอุตสาหกรรมที่กำลังสร้างบรรยากาศการลงทุนที่ ‘เป็นผู้ใหญ่’ มากขึ้น
ทั้งนี้ กระแสนิยมของมิ้มคอยน์และ AI คอยน์ที่เคยพุ่งแรงในปีก่อนหน้าเริ่มแผ่วลงตั้งแต่ต้นปี 2025 เป็นต้นมา รายงานประเมินว่า *นักลงทุนเริ่มมุ่งเน้นไปที่ความยั่งยืนและความมั่นคงของสินทรัพย์ในระยะยาว* ซึ่งทำให้ สเตเบิลคอยน์, สินทรัพย์โลกจริง และแพลตฟอร์มอย่าง *ไฮเปอร์ลิควิด* กลายเป็นศูนย์กลางความสนใจของตลาด
นี่จึงเป็นสัญญาณชัดว่า *ตลาดคริปโตกำลังเปลี่ยนจากการไล่ตามกระแสระยะสั้นมาสู่การสร้างรากฐานที่มั่นคง* ในระยะยาว
ความคิดเห็น 0