ผู้ใช้โชคร้ายจ่ายค่าก๊าซผิดพลาด สูญ 31 อีเธอเรียม(ETH) มูลค่า 1.5 ล้านบาท

ผู้ใช้รายหนึ่งบนเครือข่ายอีเธอเรียม(ETH) สูญเสียเงินไปกว่า *31 อีเธอเรียม* หรือคิดเป็นมูลค่าราว *110,000 ดอลลาร์สหรัฐ* (ประมาณ 1.52 ล้านบาท) เนื่องจากความผิดพลาดครั้งใหญ่ในการจ่าย ‘ค่าธรรมเนียมธุรกรรม’ โดยบังเอิญ ซึ่งเหตุการณ์นี้ถูกตรวจจับโดย Whale Alert แพลตฟอร์มติดตามข้อมูลบล็อกเชน ขณะที่คอนเนอร์ โกรแกน(Conor Grogan) ผู้อำนวยการของบริษัทซื้อขายคริปโตชั้นนำอย่าง *คอยน์เบส(Coinbase)* ได้ออกมาเผยแพร่รายละเอียดผ่านทางโซเชียลมีเดีย

ต้นเหตุของเหตุการณ์เริ่มจากความพยายามของผู้ใช้งานในการทำธุรกรรมบน *เครือข่ายเพิร์ลเชน(เคลย์ตัน)* ซึ่งเป็นบล็อกเชนคนละระบบกับอีเธอเรียม อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความผิดพลาดในการโต้ตอบกับเครือข่าย ทำให้เงินที่ตั้งใจจะส่งไปยังเพิร์ลเชน กลับถูกส่งไปยัง ‘บล็อกบิลเดอร์’ บนเมนเน็ตของอีเธอเรียมแทน ส่งผลให้เงินทั้งหมดถูกใช้เป็น *ค่าก๊าซ* หรือค่าธรรมเนียมในการดำเนินธุรกรรม โดยไม่มีสินทรัพย์ใด ๆ ถูกโอนสำเร็จ

โกรแกนระบุเพิ่มเติมว่า ผู้ใช้รายดังกล่าวได้ทิ้งข้อความไว้บนบล็อกเชนเพื่อ *ร้องขอให้บล็อกบิลเดอร์คืนเหรียญ ETH กลับมา* อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีสัญญาณหรือการตอบรับใด ๆ จากฝ่ายตรงข้าม ซึ่งแม้จะยังไม่ได้รับการแก้ไข แต่ขั้นตอนดังกล่าวก็นับว่าเป็น *ตัวอย่างของความโปร่งใสแบบออนเชน* ที่สามารถตรวจสอบได้

กรณีนี้ทำให้เกิดคำถามในอุตสาหกรรมเกี่ยวกับโครงสร้าง ‘ค่าก๊าซ’ ของอีเธอเรียม และการออกแบบ *ส่วนติดต่อผู้ใช้งาน (UI)* ว่ายังห่างไกลจากความเป็นมิตรและปลอดภัยต่อผู้ใช้ทั่วไป และเมื่อเงินจำนวนมากสูญหายเพียงเพราะความผิดพลาดของมนุษย์ ก็อาจเป็นแรงผลักให้โครงการต่าง ๆ ต้องพิจารณาการเพิ่มระบบป้องกันความผิดพลาดในระดับโปรโตคอล หรือนำเสนออินเทอร์เฟซที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ เหตุการณ์ในลักษณะนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ในอุตสาหกรรมคริปโต ที่ความผิดเพียงเล็กน้อย เช่น การใส่ ‘ที่อยู่ปลายทางผิด’ หรือ ‘การเซ็นชื่อข้อมูลผิดครั้งเดียว’ อาจนำไปสู่ความเสียหายระดับหลักแสนหรือหลักล้านบาท ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า *“ผู้ใช้งานควรตรวจสอบที่อยู่ปลายทาง เครือข่าย และจำนวนที่ต้องการส่งอย่างละเอียด ก่อนยืนยันธุรกรรมทุกครั้ง”*

เหตุการณ์นี้ถือเป็นบทเรียนสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า แม้บล็อกเชนจะขับเคลื่อนด้วยหลักการ ‘ไร้ตัวกลาง’ และให้ความสำคัญกับ ‘สิทธิ์ควบคุมตนเอง’ แต่การใช้งานจริงกลับมี ‘ช่องโหว่’ ที่อาจสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงได้หากไม่มีการออกแบบที่รองรับผู้ใช้ทั่วไปอย่างเพียงพอ