ไมเคิล เซย์เลอร์ ผู้บริหารของบริษัท มายโครสแตรทิจี(MSTR) ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก สร้างความเคลื่อนไหวครั้งใหม่ในตลาด *บิตคอยน์(BTC)* ด้วยการลงทุนขนาดใหญ่ โดยล่าสุดบริษัทได้เปิดเผยว่าได้เข้าซื้อ *6,220 BTC* ในราคาซื้อเฉลี่ยที่ 118,940 ดอลลาร์ต่อหนึ่งหน่วย หรือราว 16.56 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ *739.8 ล้านดอลลาร์* หรือราว *1.03 หมื่นล้านบาท*
เซย์เลอร์เปิดเผยเมื่อวันที่ 21 ผ่านทางแพลตฟอร์ม X (เดิมชื่อทวิตเตอร์) ว่า ผลตอบแทนของบิตคอยนตั้งแต่ต้นปี 2025 ถึงปัจจุบันอยู่ที่ 20.8% พร้อมระบุว่าหลังจากการเข้าซื้อครั้งล่าสุด บริษัทมีจำนวนบิตคอยน์ในครอบครองทั้งหมด *607,770 BTC* โดยบิตคอยน์เหล่านี้ได้มาจากการลงทุนรวมทั้งสิ้น 43.61 พันล้านดอลลาร์ หรือราว *60.6 ล้านล้านบาท* ที่ราคาเฉลี่ย 71,756 ดอลลาร์ หรือราว 1 ล้านบาทต่อหนึ่งหน่วย
การซื้อในครั้งนี้นับเป็นการเข้าซื้อครั้งล่าสุดในซีรีส์ของการลงทุนระดับมหาศาลของมายโครสแตรทิจี ก่อนหน้านี้เพียงหนึ่งสัปดาห์ บริษัทเพิ่งซื้อ *4,225 BTC* ที่ราคาเฉลี่ย 111,827 ดอลลาร์ต่อหน่วย หรือราว 15.54 ล้านบาท ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานราคาบิตคอยน์ก็ทะยานขึ้นทำ *จุดสูงสุดตลอดกาล* ใหม่อีกครั้ง
ท่าทีเชิงรุกของมายโครสแตรทิจีสะท้อนถึงแนวทางที่ต้องการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างทางการเงินขององค์กร *ความคิดเห็น* โดยเฉพาะในมุมมองของเซย์เลอร์ที่เห็นว่าบิตคอยน์คือ ‘ทองคำดิจิทัล’ และเป็นเครื่องมือป้องกันเงินเฟ้อ การถือครองระยะยาวจึงถูกมองว่าเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยทั้งสร้างผลตอบแทนและป้องกันความเสี่ยงด้านสินทรัพย์
ขณะเดียวกัน ความสนใจจากฝั่งนักลงทุนสถาบันไม่ได้จำกัดอยู่แค่บิตคอยน์ ล่าสุดพื้นที่ของ *อีเธอเรียม(ETH)* ก็ได้รับความสนใจเช่นกัน โดยมีรายงานว่าโครงการ ‘The Ether Machine’ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากบริษัทลงทุนคริปโตชื่อดังอย่างแพนเทอรา แคปิตัล กำลังเดินหน้าแผนการจดทะเบียน โดยใช้ทุนสนับสนุนจาก *อีเธอเรียม 400,000 ETH* หรือราว *8,340 ล้านบาท* เป็นหลักประกัน ถือเป็นสัญญาณว่าภูมิทัศน์ของการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลโดยองค์กรกำลังขยายออกไปสู่โทเคนที่หลากหลายมากขึ้น
นักวิเคราะห์มองว่าแผนซื้อบิตคอยน์ของมายโครสแตรทิจีไม่เพียงแค่ช่วยสร้างแรงหนุนต่อราคาตลาด แต่ยังแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่บริษัทเอกชนจำนวนมากอาจเริ่มหันมาพิจารณา *สินทรัพย์ดิจิทัล* เป็นหนึ่งในองค์ประกอบทรัพย์สินขององค์กรอย่างจริงจังในอนาคต
ความคิดเห็น 0