แม้ราคาบิตคอยน์(BTC)จะยังคงเคลื่อนไหวใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงนี้ แต่ข้อมูลล่าสุดเผยว่ากลุ่มนักลงทุนระยะสั้นที่เข้าซื้อในช่วง 1-3 เดือนที่ผ่านมา กลับมี ‘ผลตอบแทนเฉลี่ย’ อยู่เพียงแค่ 13% เท่านั้น ความแตกต่างระหว่างราคาและผลตอบแทนนี้ สะท้อนถึงความร้อนแรงของตลาดที่เริ่มลดความแรงลง
ตามรายงานของบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลออนเชนอย่างคริปโตควอนต์(CryptoQuant) มีกระเป๋าเงินที่เพิ่งซื้อบิตคอยน์ภายใน 1-3 เดือนล่าสุด ซึ่งปัจจุบันมีผลตอบแทนเฉลี่ยลดลงมาอยู่ที่ระดับ 13% ทั้งนี้กลุ่มผู้ถือระยะสั้นเหล่านี้มักตอบสนองเร็วต่อแนวโน้มตลาด และในอดีตเคยทำผลกำไรได้สูงถึง 232% ในปี 2012 และ 150% ในปี 2021 แต่ในวัฏจักรรอบนี้ ผลตอบแทนสูงสุดกลับอยู่ที่เพียง 69% ก่อนที่จะเริ่มชะลอตัว
ข้อมูลยังแสดงให้เห็นว่า ราคาซื้อเฉลี่ยของนักลงทุนเหล่านี้อยู่ที่ประมาณ 104,000 ดอลลาร์ หรือราว 1.44 ล้านบาท ซึ่งหมายความว่าการซื้อขายหลายรายการเกิดขึ้นใกล้กับจุดสูงสุดของราคา นักลงทุนที่เข้าซื้อในช่วงนี้อาจเผชิญความเสี่ยงจากความผันผวนสูงขึ้น โดยเฉพาะหากราคาหย่อนลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้ตอนนี้ยังไม่มีสัญญาณของการเทขายจำนวนมาก แต่ก็มี ‘ความกังวล’ ว่าหากผลขาดทุนสะสมมากขึ้น อาจเกิดการขายแบบ ‘ตัดใจ’ หรือ capitulation ตามมา
คริปโตควอนต์แสดงความเห็นว่า สถานการณ์ในลักษณะคล้ายกันนี้ เคยสร้างจุดต่ำระยะสั้นและเปิดโอกาสในการเข้าซื้อใหม่ระหว่างการปรับฐาน ซึ่งบ่งบอกว่า *การชะลอตัวในขณะนี้อาจเป็นเพียงการพักฐานเพื่อการปรับตัวขึ้นในระยะกลางถึงยาว*
ขณะเดียวกัน ฝั่งนักลงทุนสถาบันก็ส่งสัญญาณเตือนว่าสัปดาห์นี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ โดยทางบริษัทการเงินด้านคริปโตอย่างเมทริกซ์พอร์ต(Matrixport) ระบุว่า ปัจจัยสำคัญหลายประการ เช่น รายงานผลประกอบการของบริษัทสหรัฐ, ความเคลื่อนไหวด้านนโยบายของทำเนียบขาว และการตัดสินใจดอกเบี้ยของเฟด อาจทำให้นักลงทุนระมัดระวังและรอความชัดเจนมากขึ้น
นอกจากนี้ เดือนสิงหาคมและกันยายนเป็นเดือนที่โดยเฉลี่ย ‘ผลตอบแทนบิตคอยน์ต่ำที่สุด’ ซึ่งถือเป็นแรงกดดันตามฤดูกาล เช่นในเดือนสิงหาคม ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา มีเพียง 3 ปีเท่านั้นที่ผลตอบแทนออกมาเป็นบวก ปัจจัยเหล่านี้อาจกระตุ้นให้นักลงทุนบางส่วนเร่ง ‘ขายทำกำไร’ ส่งผลให้ราคาบิตคอยน์เคลื่อนไหวในลักษณะ ‘แกว่งตัวในกรอบ’
กระนั้น ยังมีนักวิเคราะห์บางรายมองในเชิงบวก โดยเชื่อว่าการย่อตัวนี้เป็นแค่ช่วง ‘พักฐานชั่วคราว’ ก่อนที่แนวโน้มขาขึ้นรอบใหม่จะเริ่มต้น โดยให้เหตุผลว่ายังมี *ปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและกระแสเงินทุนจากสถาบันที่ต่อเนื่อง* เป็นแรงหนุนอยู่ในระยะยาว
ความคิดเห็น 0