ตลาดบิตคอยน์(BTC) กำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เมื่อกลุ่มผู้ถือครองรายใหญ่ในอดีตเริ่มเทขายสินทรัพย์ ส่งผลให้มีการ ‘เปลี่ยนมือครั้งใหญ่’ ในหมู่นักลงทุน ซึ่งหลายฝ่ายมองว่านี่คือการหมุนเวียนผู้ถือครอง(holder rotation)ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยสถาบันและนักลงทุนแบบระยะยาวเริ่มเข้าซื้อแทนที่ผู้ถือครองยุคแรกที่สะสมเหรียญไว้นานหลายปี
สวอน(Swan) บริษัทให้บริการด้านการเงินในตลาดคริปโตระบุว่า เพียงวันเดียวเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม มีบิตคอยน์จำนวนกว่า 80,000 BTC หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 12.5 ล้านล้านวอน) ถูกนำออกสู่ตลาด โดยราคาในช่วงนั้นตกลงชั่วคราวจาก 119,000 ดอลลาร์ เหลือ 115,000 ดอลลาร์ ก่อนที่ตลาดจะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วและเสถียร
ผู้เชี่ยวชาญเห็นตรงกันว่าการฟื้นตัวอย่างไม่สะทกสะท้านนี้สะท้อนถึง ‘ความแข็งแกร่งของตลาด’ ที่ไม่ใช่แค่ผลจากสภาพคล่องเพียงอย่างเดียว แต่สะท้อนถึงพัฒนาการของตลาดบิตคอยน์ในฐานะสินทรัพย์สากล สวอนกล่าวว่า “ความสามารถของตลาดในการดูดซับการขายระดับนี้โดยไร้ความผันผวนถือเป็นหลักฐานสำคัญว่าบิตคอยน์ไม่ได้เป็นแค่สินทรัพย์เก็งกำไรอีกต่อไป แต่เป็นส่วนหนึ่งของระบบการเงินระดับโลก”
มีหลายมุมมองที่มองสถานการณ์นี้ว่าเป็น ‘การเทขายรอบสุดท้าย’ ของผู้ถือครองรายเก่า โดยเฉพาะ ‘วาฬ’ ที่เริ่มถือครองตั้งแต่ยุคที่ซาโตชิยังเคลื่อนไหวในวงการ ซึ่งตอนนี้เริ่มทยอยเปลี่ยนสถานะเป็นเงินสด ในขณะที่มีกลุ่มนักลงทุนประเภทมิวชวลฟันด์ หรือ ETF เข้ามาเก็บสะสมเหรียญในมุมมองระยะยาว สวอนระบุว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือ “การเปลี่ยนผ่านเจเนอเรชันของผู้ถือครอง จากผู้พิทักษ์ยุคเก่าสู่ผู้ลงทุนที่มีวิสัยทัศน์”
ข้อมูลบนเชนจากบริษัทวิเคราะห์อย่างกลาสโนด(Glassnode) ยืนยันแนวโน้มนี้ โดยแสดงให้เห็นว่า นักลงทุนระยะยาวหรือผู้ที่ถือเหรียญนานกว่า 155 วัน (Long-Term Holders หรือ LTH) ยังคงถือครองบิตคอยน์สัดส่วนกว่า 53% ของเหรียญที่หมุนเวียนอยู่ในระบบ ซึ่งสะท้อนว่าแม้ยังมีแรงกดดันจากฝั่งขาย แต่ตลาดยังต้องอาศัยแรงซื้อใหม่อย่างต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวครั้งต่อไป
ขณะเดียวกัน หลังจากประธานธนาคารกลางสหรัฐประกาศอัตราดอกเบี้ย บิตคอยน์ร่วงลงชั่วคราว 2% แต่ก็สามารถเด้งกลับมายืนเหนือระดับ 116,000 ดอลลาร์ และขยับขึ้นไปแตะ 118,300 ดอลลาร์ได้ในเวลาไม่นาน สะท้อนความมั่นคงของตลาด โดยนักวิเคราะห์มองว่า ‘การเคลื่อนไหวของราคาที่ไม่หวือหวาและมีเสถียรภาพ’ เป็น ‘ภาพสะท้อนของการสะสมทุนแบบยั่งยืน’ มากกว่าจะเป็นความเคลื่อนไหวตามกระแสในระยะสั้น
สวอนทิ้งท้ายว่า แม้หลายคนยังคาดหวังให้ราคาบิตคอยน์พุ่งแรงเหมือนในอดีต แต่รอบนี้แตกต่างออกไป โดยกล่าวว่า “นี่ไม่ใช่คลื่นกระแสชั่วคราว แต่นี่คือการวางรากฐานสำหรับอนาคตอีกสิบปีข้างหน้า” พร้อมเน้นว่า ‘การไหลเข้าของเงินทุนและการสะสมที่ยั่งยืน’ จะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของรอบนี้
ความคิดเห็น 0