ราคาของบิตคอยน์(BTC)ร่วงลงอย่างหนักในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ส่งผลให้บรรยากาศของตลาดคริปโตเย็นลงอย่างรวดเร็ว โดยข้อมูลจากตลาดซื้อขายล่วงหน้าในชิคาโก (CME) ระบุว่า *ปริมาณสัญญาเปิดของบิตคอยน์ฟิวเจอร์ส (Open Interest) ลดลง 1.32%* เหลือเพียง 16,810 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 23.3 ล้านล้านวอน สะท้อนให้เห็นถึงการเทขายอย่างกว้างขวางหลังราคาร่วง และแรงกดดันทางจิตวิทยาที่ทำให้นักลงทุนจำนวนมากเร่งปิดสถานะการลงทุน
การปรับฐานครั้งนี้เกิดขึ้นทันทีหลังจากที่บิตคอยน์ทำสถิติราคาสูงสุดใหม่เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าเป็น *กระแสการขายทำกำไรในวงกว้าง* หลังจากราคาพุ่งสูงเกินไป ความคาดหวังเกี่ยวกับการดีดตัวกลับเริ่มจางหาย ขณะที่นักลงทุนเร่งลดความเสี่ยงโดยการลดสัญญาเปิดที่ยังไม่ปิด (open position) อย่างรวดเร็ว
ข้อมูลจาก Coinglass แพลตฟอร์มวิเคราะห์ตลาดคริปโต แสดงให้เห็นว่า ปัจจุบันมีบิตคอยน์ราว 703,420 BTC ถูกใช้ในการซื้อขายฟิวเจอร์สในตลาดอนุพันธ์รายใหญ่ทั่วโลก โดยในจำนวนนั้น มีถึง 142,930 BTC ที่อยู่ในตลาด CME เพียงแห่งเดียว สะท้อนความสำคัญของ CME ในตลาดโลกที่เป็นหนึ่งใน *ตลาดอนุพันธ์สินทรัพย์ดิจิทัลที่หลากหลายที่สุด*
อย่างไรก็ตาม การลดลงอย่างรวดเร็วของ open interest ใน CME เช่นนี้ บ่งชี้ชัดว่า *แนวโน้มขาขึ้นในตลาดฟิวเจอร์สกำลังอ่อนแรงลงอย่างมีนัยสำคัญ* โดยเฉพาะเมื่อการปรับฐานครั้งนี้เกิดขึ้นจากการปิดสถานะฝั่งซื้อ (Long Position) อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งจากความตั้งใจของนักลงทุนและการถูกบังคับให้ปิดสถานะเมื่อถึงจุดตัดขาดทุน
ผู้เชี่ยวชาญมองว่าแนวโน้มนี้ไม่ใช่แค่การปรับพอร์ตของนักลงทุนบางส่วนเท่านั้น แต่สะท้อนถึงความไม่แน่นอนที่ครอบคลุมทั้ง *เศรษฐกิจมหภาคระดับโลก, ทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่ยังไม่แน่นอน* รวมถึง *ปัจจัยทางการเมืองอย่างการเลือกตั้งสหรัฐอเมริกา* ที่ล้วนส่งผลให้ตลาดยังไม่มีทิศทางแน่ชัด ความกังวลล่าสุดเกี่ยวกับปริมาณ open interest ของบิตคอยน์ที่ลดลง ทำให้หลายฝ่ายเริ่มกังวลว่า อาจเป็น *สัญญาณของการชะลอตัวในระยะยาว* ของตลาดคริปโตโดยรวม
ขณะเดียวกัน การเคลื่อนไหวใน CME ยังส่งผลต่อความเชื่อมั่นของตลาดคริปโตอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น *อีเธอเรียม(ETH), ริปเปิล(XRP)* และเหรียญทางเลือกหลักอื่น ๆ อย่างมาก อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ให้ความคิดเห็นว่า การที่ยังมีเม็ดเงินทุนขนาดใหญ่คงอยู่ใน CME อยู่แสดงว่า *ความสนใจในตลาดยังไม่หายไปอย่างสิ้นเชิง* และมีความเป็นไปได้ว่า นักลงทุนนั้นกำลัง ‘รอจังหวะ’ สำหรับการดีดตัวครั้งใหม่ในอนาคต
ในระยะต่อไป ปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดทิศทางตลาดได้แก่ การตัดสินใจทางนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) และท่าทีของประธานาธิบดีทรัมป์ต่อสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งอาจกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ *พลิกฟื้นหรือเปลี่ยนแนวโน้มของตลาดคริปโตในอนาคตอันใกล้*
ความคิดเห็น 0