นิค คาร์เตอร์(Nic Carter) หุ้นส่วนของ Castle Island Ventures ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ ‘Libragate’ ที่เขามองว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาด ‘มิมคอยน์’ โดยกล่าวว่ามันได้กระทบต่อความน่าเชื่อถือของสินทรัพย์ประเภทนี้อย่างรุนแรง และอาจส่งสัญญาณถึงการสิ้นสุดยุคของมิมคอยน์ไปแล้ว
คาร์เตอร์ระบุผ่าน X (เดิมชื่อทวิตเตอร์) เมื่อวันที่ 19 ว่า “ยุคของมิมคอยน์จบลงแล้ว” พร้อมชี้ว่าคดีของ ‘ลิบรา(LIBRA)’ ได้เปิดเผยถึงโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้ลงทุนรายย่อยอย่างชัดเจน ทั้งยังเกี่ยวข้องกับฮาเวียร์ มิเลย์(Javier Milei) ประธานาธิบดีอาร์เจนตินา จนทำให้เกิดกระแสความกังวลในวงกว้าง ซึ่งสร้างความเสียหายให้แก่นักลงทุนเป็นมูลค่ากว่า 4 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 5.76 ล้านล้านวอน)
ในความเห็นของคาร์เตอร์ มิมคอยน์เคยถูกมองว่าเป็นทางเลือกของเหรียญที่ได้รับการหนุนหลังจากบริษัทร่วมลงทุน (VC) แต่กรณีล่าสุดกลับเผยให้เห็นพฤติกรรมที่ไม่เป็นธรรมในการบริหารโครงการ โดยเฉพาะการเปิดตัวมิมคอยน์ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลมีชื่อเสียง เช่น ประธานาธิบดีทรัมป์ และอินฟลูเอนเซอร์อย่างเฮลีย์ เวลช์(Haliey Welch) ซึ่งเขาตั้งข้อสังเกตว่า การเปิดตัวเหล่านี้มักใช้ ‘วิธีการที่ไม่โปร่งใสและอาศัยบ็อต(bot) ในการควบคุมตลาด’ คาร์เตอร์ยังเปรียบเทียบว่า “โครงการเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การสร้างแต้มต่อเล็กน้อยในคาสิโน แต่เป็นระบบที่เจ้ามือชนะถึง 90% ในขณะที่ผู้เล่นมีโอกาสแค่ 10%”
อย่างไรก็ตาม ยังมีมุมมองที่มองบวกต่อมิมคอยน์ อาร์มานี เฟอร์รานเต(Armani Ferrante) ผู้ก่อตั้ง Backpack ให้สัมภาษณ์กับ Cointelegraph โดยระบุว่ามิมคอยน์อาจมีบทบาทในการเป็น “เครื่องมือทดสอบความสามารถในการแพร่หลาย” ของคริปโต เขากล่าวว่า “คริปโตเคอร์เรนซีคือเทคโนโลยีที่สร้างขึ้นเพื่อการทำธุรกรรมในระบบการเงิน และมิมคอยน์เป็นตัวชี้วัดว่าระบบเหล่านี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในวงกว้างได้หรือไม่” พร้อมเสริมว่า เทคโนโลยีที่เคยถูกมองว่าเป็นของเล่น มักจะกลายเป็นนวัตกรรมที่สำคัญในภายหลัง
ไบรอัน อาร์มสตรอง(Brian Armstrong) ซีอีโอของคอยน์เบส(Coinbase) ก็สนับสนุนแนวคิดที่ว่าควรเปิดรับมิมคอยน์ โดยกล่าวว่า “ในช่วงแรกของอินเทอร์เน็ต เทคโนโลยีอย่าง GIF ดูเหมือนเป็นแค่ของเล่น แต่ภายหลังก็กลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง เช่นเดียวกัน มิมคอยน์บางส่วนอาจดูไร้สาระหรือเป็นกลโกง แต่ภาพรวมอาจเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่ทำให้สินทรัพย์ทุกประเภทกลายเป็นแบบ ‘On-chain’ ในอนาคต”
ขณะเดียวกัน ข้อมูลจาก dune analytics ชี้ให้เห็นว่าความนิยมของมิมคอยน์เริ่มลดลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในแพลตฟอร์ม ‘Pump.fun’ ซึ่งเป็นบริการเปิดตัวมิมคอยน์บนเครือข่ายโซลานา(SOL) ที่พบว่า จำนวนเหรียญใหม่ที่ถูกสร้างลดลง 59% ภายในระยะเวลาเพียง 1 เดือน จาก 71,735 โทเคน เมื่อวันที่ 23 มกราคม เหลือเพียง 28,898 โทเคน ณ วันที่ 19 กุมภาพันธ์
อุตสาหกรรมคริปโตยังคงมีความเห็นแตกต่างกันเกี่ยวกับแนวโน้มของตลาดมิมคอยน์ โดยบางฝ่ายมองว่านี่เป็นเพียงการปรับฐานระยะสั้น ขณะที่บางฝ่ายมองว่านี่อาจเป็นสัญญาณของการลดลงอย่างถาวร
ความคิดเห็น 0