ร่างกฎหมาย GENIUS ที่เพิ่งผ่านสภาคองเกรสสหรัฐฯ ไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ อาจไม่ใช่การยกเว้นภาษีบิตคอยน์(BTC)โดยสิ้นเชิง หรือการรับรองสถานะทางกฎหมายของการเงินแบบไร้ศูนย์กลาง (DeFi) อย่างเป็นทางการ และไม่ได้เป็น ‘ม้าไม้เมืองทรอย’ สำหรับสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC) แต่อย่างใด ทว่าความสำคัญของร่างกฎหมายนี้อยู่ที่ความพยายามทางนิติบัญญัติครั้งแรกที่มุ่งท้าทายอำนาจการควบคุมระบบการชำระเงินสกุลดอลลาร์โลกของธนาคารใหญ่ไม่กี่แห่งและหน่วยงานกำกับดูแลที่มีมาอย่างยาวนาน
หากร่างกฎหมาย GENIUS มีผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบ อำนาจของสถาบันการเงินแบบดั้งเดิมในการควบคุม ‘ดอลลาร์ที่สะอาด’ อาจถูกจำกัดไปพร้อมกับความสามารถในการสอดส่องและชี้นำการไหลเวียนของเงินตามเป้าหมายทางการเมืองที่อาจถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ระบบการเงินที่เน้นการควบคุมอาจเริ่มร้าวด้วยแรงกระเพื่อมครั้งนี้ ซึ่งนำไปสู่โอกาสในการสร้างเสรีภาพทางการเงินที่เปิดกว้างและมีการเข้าถึงในระดับโลกมากกว่าเดิม
สิ่งที่ทำให้กฎหมายนี้ยิ่งน่าจับตาคือบทบาทของมันต่อการขยายตัวของดอลลาร์ผ่าน *สเตเบิลคอยน์* แม้จะยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่การเปลี่ยนผ่านจากระบบอิงการสอดส่องไปสู่การเปิดให้ผู้คนทั่วโลกสามารถเข้าถึง ‘เงินสำรองโลก’ อย่างดอลลาร์—โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่—ก็ถือเป็นก้าวที่มีความหมาย ความเห็นหนึ่งมองว่า นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่อาจทำให้ระบบการเงินสหรัฐฯ มีความเป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น
เพื่อทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของร่างกฎหมายนี้อย่างแท้จริง ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าควรกลับไปดูรากเหง้าทางประวัติศาสตร์ของคริปโตเคอร์เรนซี มากกว่าการหลงเชื่อกระแสพูดเกินจริงบนโซเชียลมีเดีย ผู้เขียนบทความยืนยันจากประสบการณ์ตัวเองที่ละทิ้งโลกการเงินดั้งเดิมมาอยู่ฝั่งคริปโตเมื่อกว่า 10 ปีก่อน ซึ่งในเวลานั้น, ความฝันของผู้คนคือการมีระบบการเงินที่ดีขึ้น โดยมีคริปโตอย่างบิตคอยน์ทำหน้าที่เป็น ‘สินทรัพย์สาธารณะ’ ที่สามารถมอบอิสรภาพทางการเงินและโอกาสการเจริญเติบโตให้กับทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่เข้าไม่ถึงระบบเดิม
แต่อนาคตนั้นจะเกิดขึ้นได้ ต้องมีการปกป้อง ‘การกระจายอำนาจของบิตคอยน์’ ให้คงอยู่ เพื่อป้องกันมิให้รัฐบาล สถาบันการเงินรายใหญ่ หรือกลุ่มอำนาจเดิมแทรกแซงหรือสกัดกั้น คนทั่วไปควรสามารถแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ได้อย่างอิสระ ปราศจากการถูกเฝ้าจับตา และได้ใช้เงินที่มีมูลค่าโดยแท้จริง
ในขณะเดียวกัน หากฝันร้ายเกิดขึ้น บิตคอยน์และบล็อกเชนแบบเปิดอาจกลายเป็นเครื่องมือในการสอดแนมภายใต้ข้ออ้างเรื่องการต่อต้านการฟอกเงิน ซึ่งเปลี่ยนหลักการเสรีภาพทางการเงินให้กลายเป็นโลกแห่งการควบคุม แนวคิดนี้ใกล้เคียงกับที่ แลร์รี ฟิงก์(Larry Fink) ซีอีโอของแบล็คร็อก เคยเตือนถึง ‘สกุลเงินดิจิทัลโลก’ ที่สามารถควบคุมกระแสเงินทั้งหมดได้
แม้อดีตจะดูเหมือน ‘ทฤษฎีสมคบคิด’ แต่ต้องยอมรับว่าความเปลี่ยนแปลงของนโยบายการเงินสหรัฐฯ ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา สะท้อนชัดถึงทิศทางแห่งการเฝ้าระวังโดยต่อเนื่อง ตั้งแต่การออกกฎหมาย Bank Secrecy Act ในปี 1973 ไปจนถึงกฎหมาย PATRIOT Act หลังเหตุการณ์ 9/11 ที่ส่งเสริมให้ธนาคารรายงานข้อมูลลูกค้าและสร้างเครือข่ายตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินอย่างเข้มงวด
ยุคของรัฐบาลโอบามายิ่งผลักดันแนวทางดังกล่าวอย่างชัดเจนผ่านโครงการ ‘Operation Chokepoint’ ที่ปิดกั้นการเข้าถึงบริการธนาคารต่อธุรกิจที่ไม่เป็นที่นิยม เช่น ร้านรับจำนำ, สินเชื่อเงินเดือน, เว็บไซต์ผู้ใหญ่อย่างถูกกฎหมาย ไปจนถึง *อุตสาหกรรมคริปโตเคอร์เรนซี* ซึ่งกลายเป็นเป้าหมายในการลดทอนอิทธิพลจากภายในระบบ
อย่างไรก็ตาม ‘การตอบโต้’ เริ่มขึ้นเร็วกว่าที่คาดไว้ เมื่อกลุ่มคริปโตเริ่มรวมตัวและเร่งความพยายามในการล็อบบี้ ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อคดีความหลายกรณีที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ฯ (SEC) ภายใต้การนำของ แกรี เกนส์เลอร์(Gary Gensler) ต้องพ่ายแพ้ในศาล นอกจากนี้ การอนุมัติ ETF บิตคอยน์ในตลาดหลักทรัพย์ และการเติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของสเตเบิลคอยน์ดอลลาร์ ล้วนเป็นสัญญาณว่าอิทธิพลทางการเงินของสหรัฐฯ กำลังหาทางสกัดอิทธิพลจากเหรียญอื่นอย่าง *หยวนจีน*
ท้ายที่สุด กระแสนี้ทำให้ทั้งวุฒิสมาชิก เอลิซาเบธ วอร์เรน และเกนส์เลอร์ รวมทั้งผู้มีอำนาจในแวดวงการเงินดั้งเดิม ต้อง ‘ถอย’ อย่างเงียบ ๆ ท่ามกลางแรงกดดันจากทุกทิศทาง GENIUS จึงผ่านการอนุมัติในช่วงเวลาที่เหมาะสม และได้ฉายภาพของอนาคตที่ระบบการเงินไม่จำกัดอีกต่อไปอยู่ภายใต้การสอดส่อง แต่จะเดินหน้าไปสู่ *โครงสร้างใหม่ที่เน้นเสรีภาพและการเข้าถึง* อย่างกว้างขวาง แม้ยังไม่ใช่การปฏิวัติเต็มรูปแบบ แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่า อุดมคติของโลกคริปโตนั้น ยังมีโอกาสที่จะเป็นจริง
ความคิดเห็น 0